Actions

Work Header

My Dear Human

Summary:

Abeshiya from Fuzzy and Mononokean's POV

Chapter 1: Fuzzy

Chapter Text

ปุกปุยรู้สึกว่ามีคนลูบหัวเขา

เป็นสัมผัสที่ไม่ได้รับมานาน จนแทบจะลืมไปแล้วว่าเคยคุ้นมากแค่ไหน

พอลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกแขวนไว้กับถุงพลาสติก เห็นแผ่นหลังของเด็กมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล

เห็น...? เขาเห็นเรา?

เพียงแค่พบความเป็นไปได้นั้น เขาก็กระโดดเข้าหาอย่างไม่คิด เด็กคนนั้นโวยวายขนานใหญ่ อา เขาเห็นจริงๆด้วย ยิ่งได้รับการยืนยันแบบนั้น ขาเล็กๆก็ยิ่งยึดมนุษย์ตรงหน้าไว้แน่นขึ้น

ไม่อยากอยู่ตัวคนเดียวแล้ว

"ฮานาเอะ สีหน้าดูไม่ดีเลย เป็นอะไรรึเปล่า"

ฮานาเอะ...? ชื่อของมนุษย์คนนี้งั้นหรือ

ฮานาเอะ...ฮานาเอะ

สำหรับปุกปุยแล้ว เป็นคำที่ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน

.
.

ตอนนี้ปุกปุยเป็นลูกจ้างของอาศรมภูต ตอนที่อยู่ปรโลกเขามีเพื่อนมากมายและสนุกมากก็จริง แต่เทียบกับทุกๆวันที่ได้อยู่กับฮานาเอะไม่ได้เลย

เสร็จงานส่วนของวันนี้แล้ว ปกติปุกปุยจะซึมเพราะเป็นวันศุกร์ กว่าจะได้เจอฮานาเอะอีกครั้งก็เย็นวันจันทร์ แต่วันนี้ปีศาจตัวกลมตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษ เพราะจะได้ไปค้างบ้านของเด็กหนุ่มผมสีดำ หลังจากเหตุการณ์ที่ได้ไปเล่นที่บ้านของเขาจนเช้าเป็นครั้งแรก อาเบโนะก็อนุญาตให้ปุกปุยกลับไปกับฮานาเอะได้ในบางสุดสัปดาห์

เขาส่ายหางทั้งสามอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะสังเกตว่ามนุษย์ทั้งสองคนไม่ค่อยสดชื่นเหมือนตนเท่าไหร่

"อาเบโนะซัง...โกรธเหรอครับ" เจ้าของบ่าที่เขาเกาะอยู่เหลือบตามองอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆ

"ไม่ได้โกรธ" อาเบโนะที่เดินนำเข้าอาศรมภูตตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเต็มพิกัด

"โกรธอยู่ชัดๆเลยนี่!!"

"รู้แล้วจะถามทำไม!? งานง่ายๆแกก็ทำให้มันยาก"

"ก็มัน...!" ฮานาเอะตั้งท่าจะเถียงกลับ แต่ดูเหมือนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิด เลยได้แต่ทำปากยื่น "...ขอโทษครับ แต่ยังไงผมก็ว่าปล่อยให้จบแค่นั้นไม่ดีหรอก"

คนเป็นเจ้านายนั่งลง ขมวดคิ้ว "ยังจะกล้าพูดอีกเรอะ"

ปุกปุยเหงื่อตก มองทั้งสองที่ยังเถียงกันไม่หยุดสลับกันไปมา

ทะเลาะกันอีกแล้ว

ฮานาเอะกับอาเบโนะทะเลาะกันบ่อย...มาก อย่างน้อยก็สองวันครั้ง

ปีศาจตัวกลมรักฮานาเอะ และเกลียดใครก็ตามที่เป็นศัตรูของเด็กหนุ่มคนนี้ก็จริงอยู่ แต่ถึงแม้อาเบโนะจะทะเลาะกับฮานาเอะวันเว้นวันแบบนี้ เขาก็ค่อนข้างชอบผู้เป็นเจ้านายอยู่ไม่น้อย

นั่นก็เพราะ...ถึงจะทะเลาะกัน เถียงกันรุนแรงแค่ไหน เขาก็ไม่รู้สึกว่าทั้งสองคนเกลียดกัน

คำว่า'รู้สึก'ของปุกปุย หมายถึง'กลิ่น'

ตั้งแต่ก่อนจะเป็นปีศาจ เขาสามารถแยกแยะความรู้สึกต่างๆได้จากกลิ่น ทั้งความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเสียใจ ไม่มีใครสามารถปิดปังกลิ่นเหล่านั้นได้

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก บางคนเขาได้กลิ่นว่าเกลียดกันแทบตายก็ยิ้มให้กัน บางคนส่งกลิ่นว่ากำลังดีใจแต่กลับทำท่าโกรธ ในหมู่มนุษย์ที่ปุกปุยเคยรู้จัก ฮานาเอะเป็นมนุษย์ที่กลิ่นตรงกับสีหน้ามากที่สุด

เวลาเถียงกับอาเบโนะ ฮานาเอะก็โกรธจริงๆและเสียใจจริงๆ แต่กลิ่นที่ว่าก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว และไม่เคยมีกลิ่นเหม็นของความเกลียดหลงเหลืออยู่เลย ส่วนอาเบโนะเองก็ไม่ต่างกัน นอกจากนั้นเด็กหนุ่มยังไม่ได้โกรธถึงขนาดที่แสดงออกมาอีกด้วย

จริงๆแล้ว ปุกปุยยังรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมๆระหว่างทั้งสองคน

เป็นกลิ่นที่คล้ายกับที่อยู่บนตัวผู้ว่าจ้างในวันนี้

งานวันนี้เกี่ยวกับปีศาจกับมนุษย์คู่หนึ่ง ที่ตกหลุมรักกัน

มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นมองไม่เห็นปีศาจ แต่พวกเขาคุยกันผ่านการเขียนหินชอล์คลงบนพื้นที่มุมหนึ่งของแปลงดอกไม้หลังโรงเรียน ปีศาจหนุ่มหลงรักเด็กสาวมากขึ้นทุกวัน แต่ความรู้สึกรุนแรงนั้นกลับทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง

เมื่อมือของเขาร่ำๆจะหายไป ทำให้ไม่สามารถเขียนข้อความลงบนพื้นได้เหมือนเคย ระหว่างที่ทนมองเด็กสาวซึ่งกังวลใจที่ไม่ได้ข้อความตอบกลับ ความทุกข์ใจก็ยิ่งเพิ่มพูนจนร่างกายขยายใหญ่ เหมือนกับปุกปุยก่อนหน้านี้ จนต้องมาว่าจ้างอาศรมภูต

คำขอร้องของเขาที่มีต่อนายแห่งอาศรมภูตคือ ขอให้ช่วยเขียนข้อความบอกลาแทนเขาเป็นครั้งสุดท้าย โดยให้โกหกว่าจะต้องย้ายโรงเรียน

อย่างที่อาเบโนะว่า นี่เป็นงานง่ายๆ

แต่ฮานาเอะที่คิดว่าอย่างน้อยปีศาจหนุ่มก็ควรจะบอกรักเธอ และไม่พอใจกับวิธีการนี้มาตั้งแต่ต้น ทำให้ยื้อกันอยู่หน้าแปลงดอกไม้นานจนเด็กสาวมาเห็นเข้า ทำให้ต้องโกหกข้างๆคูๆว่าเป็นเพื่อนกับคนที่ตอบกลับเธอ แล้วบอกข้อความกับเจ้าตัวโดยตรง

ในที่สุดปีศาจตนนั้นก็บอกรักเธอผ่านทางฮานาเอะ ความจริงก็เป็นเรื่องดีเพราะเมื่อได้บอกไปแล้วก็ดูเหมือนความอึดอัดใจทั้งหมดก็หายไป ทำให้ร่างกายของเขากลับมาอยู่ในขนาดปกติ แต่ปัญหาก็คือ พอได้ฟังคำบอกรักและบอกลาแล้ว สาวเจ้าก็ร้องไห้โฮ แถมยังสะอึกสะอื้นคาดคั้นกับเด็กหนุ่มทั้งสองไม่ยอมปล่อยว่าเพื่อนของพวกเขาเป็นใคร กว่าจะหลุดมาได้ก็เล่นเอาแทบแย่

"แต่...พวกเขาก็น่าสงสารจริงๆนะครับ" ฮานาเอะพูดขึ้นหลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง

"หา?"

"ทั้งที่รักกัน แต่อยู่ด้วยกันไม่ได้...มันน่าเศร้าออก"

คนเป็นเจ้านายพ่นลมหายใจออกทางจมูก "เด็กอนุบาลอย่างนายอินเรื่องความรักกับเขาด้วยรึไง"

"ผมมีรักแรกตั้งแต่อนุบาล 2 แล้วหรอก!"

"...คิดว่าฉันสนเรอะ"

เด็กหนุ่มผมสีดำทำท่าฮึดฮัด "ทำไมผมจะไม่รู้จัก! เวลามีความรักน่ะ อยู่กับคนๆนั้นแล้วจะมีความสุข อยากอยู่กับเขานานๆ เป็นห่วงเขา อยากรู้เรื่องของเขา อยากรู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง เวลาถูกโกรธหรือถูกเมินก็รู้สึกแย่สุดๆ..." พูดไปก็ยกนิ้วขึ้นมานับตามแต่ละข้อ

อาเบโนะทำหน้าเหนื่อยหน่าย หยิบม้วนกระดาษที่มีตัวหนังสือเขียนอยู่เต็มขึ้นมาอ่าน "ฟังดูน่ารำคาญจริง" บ่นคำหนึ่งแล้วเริ่มเข้าโหมดสมาธิ ไม่รับรู้สิ่งรอบข้างอีกต่อไป

จึงไม่สังเกตว่าจู่ๆคนพูดก็ชะงัก

แต่ปุกปุยที่อยู่บนไหล่ย่อมรู้สึกตัว เขาหันไปมองฮานาเอะที่นิ่งไปกะทันหัน

ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง มองนิ้วมือของตัวเองที่นับค้างไว้สลับกับใบหน้าของมนุษย์อีกคนในห้องไปมา

ฮานาเอะ...?

กรุ๊งกริ๊ง ปุกปุยหันไปมองต้นเสียง ม้วนกระดาษปรากฏตัวอักษร

' ฮานาเอะ วันนี้กลับบ้านเลยมั้ย '

เด็กหนุ่มไม่ตอบ ข้อความนั้นปรากฏรออยู่พักใหญ่ แต่คนถูกถามก็ยังคงมองมือตัวเองค้างอยู่

' ฮา~นา~~เอะ~ '

เสียงกระดิ่งดังเรียกต่อเนื่อง แต่มนุษย์ทั้งสองก็ไม่มีใครหันไปมอง จนเจ้าก้อนขนสีขาวใช้ตัวเบียดใบหน้านั่นแหละ ฮานาเอะจึงรู้สึกตัว

"เอ๊ะ...อ๊ะ...! อะ...อะไรเหรอ อาศรมภูต"

' กลับบ้านเลยมั้ยเอ่ย '

"อะ..อื้อ เอ๊ะ ไม่สิ ต้อง...ต้องไปซื้อของให้แม่น่ะ ช่วยเปิดนิจิริงุจิตรงแถวๆซุปเปอร์..." คนที่ยังหน้าเหวอตอบตะกุกตะกัก

' ได้เลย ใจลอยจัง ไม่สบายรึเปล่า รีบกลับไปพักผ่อนเยอะๆนะ ' อาศรมภูตตอบ พร้อมกับสร้างประตูบานเล็กขึ้น

"อ...อืม" ฮานาเอะยิ้มฝืดๆ สายตายังลอกแลกไปมา ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูอย่างลุกลี้ลุกลน "ไปกันเถอะปุกปุย ไว้เจอกันนะครับ อาศรมภูต อ...อา...อาเบโนะซัง"

ทำไมชื่อสุดท้ายมันเบาจัง

' บ๊ายบายヾ(*'▽'*) '

เด็กหนุ่มไม่คาดหวังคำตอบจากคนที่กำลังตั้งสมาธิ โบกมือให้ม้วนกระดาษแขวน ส่งปุกปุยออกไปด้านนอกก่อนจะมุดตามไป

เจ้าก้อนขนกระโดดดึ๋งๆรออย่างตื่นเต้นที่ด้านนอกซึ่งเป็นริมแม่น้ำ ฮานาเอะที่ออกมายืนเรียบร้อยแล้วโน้มตัวไปจะปิดประตู แต่คนด้านในที่ออกจากโหมดสมาธิตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กลับโผล่หน้าออกมาก่อน

ดวงตาสีทองมองคนที่ยืนแข็งทื่ออยู่ "เจอกันวันจันทร์" อาเบโนะพูดเรียบๆแล้วเลื่อนประตูปิด

ปุกปุยยืนมองประตูบานเลื่อนไม้ที่จางหายไป

"ว้ากกกกกกก!!!!!"

ปีศาจน้อยสะดุ้งตัวลอย หันควับไปทางต้นเสียง แล้วพบว่าเจ้าตัวทรุดลงไปนั่งยองๆ เอามือปิดหน้า

ฮานาเอะ...!?

ปุกปุยตื่นตระหนก กระโจนเข้าไปแทบเท้าอีกฝ่าย

ละสายตาไปแป๊บเดียวเอง ฮานาเอะเป็นอะไรไปแล้ว ปวดท้องหรือ...แต่หน้าแดงด้วย หรือว่าเป็นไข้นะ

ได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ผ่านนิ้วมือ "...เอาจริงดิ...แค่'เจอกันวันจันทร์'เองนะ"

ดวงตาสีม่วงมองอย่างเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เขาจะช่วยอะไรได้ไหมนะ ก้อนขนสีขาวเอาตัวเข้าไปถูไถ

"ปุกปุย..." ฮานาเอะเหลือบตาขึ้นมอง อุ้มตัวเขาขึ้นมากอด "แย่แล้วล่ะ"

ปุกปุยเริ่มตกใจอีกรอบ แย่...อะไรแย่ ตกลงว่าไม่สบายจริงๆหรือ

เด็กหนุ่มหลับตา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ซุกใบหน้าที่ยังแดงก่ำเข้ากับขนนุ่มๆ

"ฉัน...ชอบอาเบโนะซังเข้าให้แล้ว"

.
.

ชอบ

ปุกปุยเข้าใจคำว่าชอบ

เขาชอบฮานาเอะ ชอบเล่นลูกบอล ชอบถุงพลาสติกกรอบแกรบ

ชอบคือสิ่งที่มีทำให้มีความสุข

ถ้างั้น ชอบแล้ว...ทำไมถึงแย่กันล่ะ?

 

ปุกปุยกระโจนเข้าหาลูกเบสบอลยางที่ลอยมา เขาเตะกลับไปหาฮานาเอะที่นั่งอยู่บนเตียง

บอลลอยหวือไปกระทบกำแพงแล้วกลิ้งไปอยู่ข้างๆเด็กหนุ่ม ดวงตาสีฟ้ามองมันอย่างเหม่อลอย หยิบไปกำไว้นิ่งๆ

หางเล็กๆทั้งสามลู่ลง เจ้าก้อนขนกระโดดทีเดียวไปยืนข้างๆฮานาเอะ

"อ่ะ...ขอโทษปุกปุย เล่นต่อเถอะ"

ปุกปุยปีนขึ้นไปทับบนมือที่กำลูกบอลอยู่ ส่ายหน้าดิ๊ก ถ้าฮานาเอะเล่นแล้วไม่สนุก เขาก็ไม่สนุกเหมือนกัน

"ทำให้เป็นห่วงแล้วสิ ขอโทษนะ" ฮานาเอะยิ้มบางๆ ปุกปุยส่ายหน้าอีก เอาตัวเบียดมือของอีกฝ่ายไปมา

ลูบสิ ปกติแล้วพอฮานาเอะลูบขนเขาแล้วจะร่าเริงขึ้น

ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ มือนั้นคลายลูกบอลออก ขยับมาลูบบนหลังเขา ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง

"อื้อออออ เอาไงดีล่ะเนี่ย" เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูสับสน

"....ไม่บอก ดีกว่าล่ะมั้ง"

ฮานาเอะถอนหายใจเฮือกใหญ่ "บอกไปก็เข้าหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ ดีไม่ดีโดนไล่ออกไปเลยด้วย ยังไงซะอาเบโนะซัง...ก็ไม่ชอบเราอยู่แล้ว" พูดเองก็ซึมเอง คนพูดกอดเข่าด้วยท่าทางหงอยๆ

เอ๊ะ ไม่ใช่นะ

ปุกปุยส่ายหัวสุดแรงเกิด แต่อีกฝ่ายยังพูดต่อไปเรื่อยๆโดยไม่มอง

"ก็เอาแต่ก่อเรื่องเดือดร้อนให้นี่นะ ชอบบอกว่าหนวกหูน่ารำคาญด้วย แต่มันเป็นเอกลักษณ์ของเรานี่นา ช่วยไม่ได้...ต่อให้พยายามเงียบก็ทำได้แค่ 5 วินาทีเอง"

"...อื้ม!! ไม่บอกแล้วกัน!" ฮานาเอะยืดหลังตรง อุ้มปุกปุยขึ้นมามองหน้าระดับสายตา "ปุกปุยก็ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ"

เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่เมื่อถูกมองด้วยดวงตาคู่นั้นก็ได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ

วันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กลับเป็นปกติ ทำให้ปุกปุยใจชื้นขึ้นมา แต่...

 

พอวันจันทร์มาถึง ฮานาเอะก็กลับไปไม่ร่าเริงอีก

"เฮ้อ----" เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจโดยไม่ให้ผู้เป็นเจ้านายเห็นเป็นรอบที่ร้อย ดวงตาสีม่วงเหลือบมองจากบนไหล่ด้วยความเป็นห่วง วันนี้กลิ่นของฮานาเอะสับสนกว่าทุกวัน โดยเฉพาะตอนอยู่ใกล้อาเบโนะ เป็นกลิ่นที่ทั้งดีใจ กังวล และอึดอัดในเวลาเดียวกัน

โชคดีที่งานวันนี้เป็นการหาของธรรมดา เมื่อแยกกันหาจึงไม่ต้องพูดคุยกันมากนัก

"ไม่ไหวเลยนะฉันเนี่ย" บ่นพึมพำพลางเอื้อมมือไปลูบขนนุ่ม "ไม่ถนัดโกหกเลยจริงๆ"

ฮานาเอะสูดลมหายใจเข้า "เอาเถอะ! แต่ก็ดีกว่าไม่ได้เจอเขาอีกล่ะนะ อาเบโนะซังเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วย...แปลว่าไม่สนใจเลยรึเปล่าเนี่ย ไม่รู้จะโล่งใจหรือเสียใจดีเลยแฮะ..."

ฮึดได้ไม่ทันไรก็หมดแรงซึมไปอีกแล้ว

ก้อนขนสีขาวเริ่มเครียดตามไปด้วย พยายามปลอบด้วยการเบียดตัวเข้าหาใบหน้าซึมเศร้า ฮานาเอะเหมือนจะรับรู้ได้จึงหันมายิ้มให้ "ขอบใจนะ ปุกปุย"

เด็กหนุ่มกำหมัด "โย้ช-! ต้องพยายามหน่อยแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน่า ตอนนี้ก็แค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง" คำพูดนั้นดูเหมือนว่ากึ่งหนึ่งพูดกับตัวเอง ส่วนอีกกึ่งหนึงพูดกับปุกปุย

ปุกปุยอยากจะเชื่อรอยยิ้มของอีกฝ่าย แต่นัยน์ตาและกลิ่นที่ฟ้องถึงความไม่สบายใจนั้นก็ชัดเจนเหลือเกิน

.
.

หลังจากฮานาเอะกลับบ้านไป ถ้าไม่นับตัวอาศรมภูตเองแล้ว ก็เหลือแต่ปุกปุยกับอาเบโนะอยู่ภายในห้องพิธีชงชา

เจ้าก้อนขนนุ่มนิ่มจ้องเขม็งไปทางนายแห่งอาศรมภูตที่กำลังอ่านหนังสือเรียนไม่รู้ร้อนรู้หนาว รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ไหว พุ่งเข้าชนสีข้างของอีกฝ่ายเข้าเต็มรัก

"เจ็...! เจ้าก้อนขน!?"

ปุกปุยยังคงกระโดดเข้าชนไม่หยุด ไม่สนใจเสียงห้ามของเจ้านายตนเอง

ทำไม

ทำไมถึงไม่รู้ตัว ทำไมถึงไม่ถาม

ทั้งที่ฮานาเอะไม่ร่าเริงให้เห็นชัดๆขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ถามว่าเป็นอะไร

ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ ทั้งที่สื่อสารกันได้แท้ๆ แต่ทำไมไม่ทำอะไรเลย...!

"หยุดนะ...ก้อนขน! จู่ๆเป็นอะไรของแก" อาเบโนะที่ถูกกระแทกเข้าไปหลายทีจับเจ้าตัวกลมขึ้นมา ไม่ให้กระโจนหาเขาได้อีก

ปีศาจตัวน้อยยังดิ้นไม่หยุด สะบัดขาเล็กๆไปมา

ถ้าเป็นเขา ถ้าเขาเป็นมนุษย์ล่ะก็...

เสียงกระดิ่งดังขึ้น คนที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่รู้สาเหตุหันไปทางต้นเสียง

' ปุกปุยเป็นอะไรน่ะ '

"ไม่รู้ อยู่ดีๆก็อาละวาดขึ้นมา" ปุกปุยได้ยินดังนั้นก็ฉุนกึก สะบัดตัวออกจากมือของเด็กหนุ่ม กระโดดไปยืนต่อหน้าม้วนกระดาษแขวน กับอาศรมภูตที่เป็นปีศาจเหมือนกัน จะสื่อสารเข้าใจมากกว่า

พอจ้องไปครู่ใหญ่ กระดิ่งก็สั่นอีกครั้ง แต่ใช้เวลานานกว่าทุกทีกว่าข้อความจะปรากฏขึ้น

' ...งั้นเหรอ ฮานาเอะรู้ตัวแล้วสินะ '

มนุษย์คนเดียวในห้องอ่านข้อความแล้วขมวดคิ้ว "หมอนั่นเกี่ยวอะไรด้วย รู้ตัวอะไร"

' ม่าย~บอก~อิตสึกิหรอกจ้า ╮(︶▽︶)╭ '

"เฮ้ย!"

' ยกโทษให้เขาเถอะ เด็กคนนี้ไม่เก่งเรื่องแบบนี้น่ะ ' อาศรมภูตคุยกับปุกปุยต่อโดยไม่สนนายท่านที่กำลังทำหน้ายักษ์

อาเบโนะปล่อยตัวพิงกำแพงอย่างยอมแพ้ รู้ว่าเถียงไปก็เปล่าประโยชน์ เขาวางมือลงบนเจ้าก้อนขนที่ยังย่นหน้าผาก

"ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจก็โทษที"

ความโกรธลดลงนิดหน่อย แต่ปุกปุยก็ยังขยับหันหลังให้อีกฝ่าย ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากด้านหลัง

เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง "...เกี่ยวกับที่วันนี้หมอนั่นทำตัวแปลกๆรึเปล่านะ"

ถ้าปุกปุยมีหูล่ะก็ ตอนนี้คงทำหูตั้ง เขาหันกลับไปมองคนพูด เหลือบตาขึ้นมอง แล้วดมมือของอีกคนฟุดฟิด

"หืม อะไรอีกล่ะ"

ดวงตาสีม่วงกระพริบปริบๆ

เขาได้กลิ่นของความกังวล...ไม่สิ ถ้าตรงกว่านั้นคือ ความเป็นห่วง ที่ไม่สังเกตก่อนหน้านี้ก็เพราะตัวเขาเองก็มัวแต่มองฮานาเอะ

อา อย่างนี้นี่เอง

"อาเบโนะซังเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วย...แปลว่าไม่สนใจเลยรึเปล่าเนี่ย ไม่รู้จะโล่งใจหรือเสียใจดีเลยแฮะ..."

ฮานาเอะ ไม่ใช่นะ

คนๆนี้ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ เพียงแต่ว่าเขา 'ไม่เก่ง'

มนุษย์บางคนที่ปุกปุยเคยเจอก็เป็นแบบนั้น ไม่ใช่แค่พูดความรู้สึกของตัวเองไม่เก่ง แต่ไม่เก่งแม้แต่จะรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง

ปุกปุยนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถูตัวเองกับมือของอีกฝ่ายเป็นการขอโทษ

"...เริ่มอารมณ์แปรปรวนตามอาชิยะแล้วรึไง"

ถึงปากจะพูดเหมือนบ่น แต่อาเบโนะก็ตบบนตัวเขาเบาๆ และถ้าฟังไม่ผิด เสียงตอนที่พูดชื่อของมนุษย์อีกคนก็อ่อนลงเล็กน้อย

และเขาก็มั่นใจว่าฟังไม่ผิดหรอก

ปุกปุยยิ้มตาปิด ส่ายหางทั้งสามไปมา

 

บางครั้ง ปุกปุยก็นึกอยากเป็นมนุษย์

ไม่สิ แค่ใช้ภาษามนุษย์ได้เหมือนอาศรมภูตก็พอ

ถ้าเขาใช้ภาษามนุษย์ได้ล่ะก็ คงจะได้พูดคุยกับฮานาเอะ เวลาฮานาเอะไม่สบายใจก็พูดปลอบโยนได้

คงจะช่วยอะไรได้บ้าง

แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เขาก็จะอยู่ข้างๆและเฝ้ามอง ภาวนาให้เด็กหนุ่มมีความสุข

นั่นคือสิ่งเดียวที่ปุกปุยทำได้...เพื่อมนุษย์ผู้เป็นที่รักของเขา

Chapter 2: The Mononokean

Chapter Text

อาศรมภูตพบกับอิตสึกิครั้งแรกเมื่อแปดปีก่อน

เด็กมนุษย์ตัวจ้อย ยืนหลบอยู่หลังอาโออิซึ่งเป็นนายคนก่อน มีบาดแผลเล็กๆอยู่ตามตัว ดวงตาสีทองไร้ซึ่งความสดใสอย่างที่เด็กอายุเท่านี้ควรจะมี

เด็กคนนั้นเข้ามาเป็นลูกจ้างของอาศรมภูต

ปีศาจรูปร่างห้องชงชายอมรับในความประสงค์ของผู้เป็นนาย เฝ้ามองเด็กตัวน้อยในวันนั้นเติบโตขึ้น พร้อมกับความผูกพันที่เพิ่มมากขึ้นทุกที

นัยน์ตาคู่นั้นมีชีวิตชีวาขึ้นทีละน้อย

แต่แล้ว มันก็ดับวูบไป พร้อมกับการเปลี่ยนรุ่นนายแห่งอาศรมภูต

อิตสึกิเป็นนายที่ดี เขาทุ่มเทกายใจทั้งหมดให้กับการช่วยเหลือเหล่าปีศาจ บางครั้งก็ทุ่มเทมากเกินไปจนริปโปเอ่ยปากเตือน แต่อาศรมภูตกลับไม่สามารถรู้สึกยินดีจากใจจริงได้

เพราะยิ่งเข้าใกล้ความเป็นนายแห่งอาศรมภูต เด็กหนุ่มก็ยิ่งห่างไกลจากความเป็นมนุษย์

แต่ในเมื่อเจ้าตัวออกปากว่าไม่เดือดร้อน และในฐานะบ่าว ตนก็ไม่มีสิทธิจะว่าอะไรที่อีกฝ่ายเป็นเจ้านายที่ดี อาศรมภูตก็เริ่มคิดว่าอาจจะดีแล้วก็ได้

ยิ่งนึกถึงวันที่เด็กน้อยเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากมนุษย์เหมือนกัน...บางที อยู่ห่างจากพวกมนุษย์คงจะดีต่ออิตสึกิแล้ว

จนกระทั่ง เด็กคนนั้นเข้ามา

.
.

"ช้าเป็นบ้า"

อิตสึกิเดินไปดูที่ประตูบานเล็ก พอไม่เห็นท่าทีว่าคนที่รออยู่จะมาก็เดินวนรอบห้องก่อนจะนั่งลง นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินไปดูที่ประตูอีก เป็นแบบนี้ซ้ำไปมาอยู่หลายรอบจนอาศรมภูตเริ่มจะเวียนหัวแทน

ครั้งนี้ริปโปวานฮานาเอะให้เอาม้วนเอกสารไปคืนเกียวเซ อิตสึกิที่ถูกห้ามไม่ให้ไปด้วยจึงรีบเคลียร์งานทั้งหมดและมารอรับ

...เป็นขนาดนี้แล้วทำไมถึงยังไม่รู้ตัวอีกนะ

"เป็นเด็กหลงอีกแล้วรึไง ก่อนออกไปก็กำชับขนาดนั้นแล้วนะว่าให้เดินตรงไปอย่างเดียว" เด็กหนุ่มบ่นพึมพำด้วยสีหน้าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

' ใจเย็นๆก่อนน่า (´• ω •`) นี่ยังไม่ชั่วโมงเลย กรงนกอยู่ไกลจะตาย '

ผู้เป็นนายเหลือบมองข้อความ พ่นลมหายใจออกทางจมูก นั่งลงข้างๆนิจิริงุจิอย่างแรง "รู้อยู่แล้วน่ะ!"

แต่สายตายังคอยมองออกไปด้านนอกอยู่เลย

อืม เชื่อจ้ะ ความเป็นห่วงมันห้ามกันไม่ได้นี่นะ

อาศรมภูตพยายามอดกลั้นไม่เขียนล้อลงในกระดาษ เธอรู้เรื่องความรู้สึกของเด็กหนุ่มทั้งสองคนมาพักใหญ่แล้ว ตอนแรกก็ว่าจะคอยมองดูเฉยๆ แต่ว่า...

ไม่นานมานี้ ฮานาเอะรู้สึกตัวแล้ว

เด็กคนนั้นทำตัวเกร็งๆอยู่สัปดาห์หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆปรับตัวกลับมาเป็นปกติ ทั้งอย่างนั้นอิตสึกิกลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมรับรู้ความรู้สึกของตัวเองสักที

บางที อาจเป็นความผิดของเธอเอง

อิตสึกิเอาความรู้สึกออกห่างมนุษย์มานานเกินไป

ไม่ว่าจะแสดงออกอย่างไร อิตสึกิเป็นคนอ่อนโยน ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของคนอื่น ใส่ใจคนรอบข้างเสมอ แต่กับมนุษย์แล้วกลับเมินเฉยและโหดร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะเหล่ามนุษย์ไม่เคยพยายามจะเข้าใจเขา เด็กหนุ่มจึงเลิกที่จะพยายามทำให้พวกเขาเข้าใจ และในที่สุดตนเองก็พลอยไม่เข้าใจมนุษย์ไปด้วย

อาศรมภูตไม่โทษอิตสึกิเลย และยังเคยคิดว่าเป็นแบบนั้นต่อไปก็คงไม่เป็นไร

แต่หลังจากได้เจอกับฮานาเอะก็รู้ว่าตนคิดผิด

เด็กหนุ่มที่ทะเลาะกับนายของอาศรมภูตอยู่ตลอดเวลา เอาเรื่องยุ่งยากมาให้ ทำให้อิตสึกิฟิวส์ขาดอยู่ทุกวัน

แต่ในขณะเดียวกัน ดวงตาสีทองนั้นกลับมีประกายบางอย่างที่สดใสและนุ่มนวล อย่างที่ตลอดแปดปีมานี้ไม่เคยมีมาก่อน

...ไม่ได้หรอก อิตสึกิทิ้งโลกฝั่งนั้นไปไม่ได้ และคนที่จะพาเขากลับไป ก็คือเด็กคนนี้

ฮานาเอะเป็นเด็กจิตใจดี ถึงจะเคยเดือดร้อนเพราะปีศาจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังพยายามทำความเข้าใจเผ่าพันธุ์ของเธอ เขาอาจจะไม่ใช่คนดีที่สุดหรือฉลาดที่สุด แต่ความจริงใจที่จะช่วยเหลือทั้งมนุษย์และปีศาจที่พบอย่างเต็มที่ อาศรมภูตก็คิดว่าเพียงพอแล้ว

นอกจากนั้น เด็กลูกจ้างคนนั้นยังรักนายของเธอ และอีกฝ่ายหนึ่งก็รู้สึกตรงกัน

แต่ถ้าอิตสึกิยังไม่รู้ความรู้สึกของตนเองต่อไป สักวันหนึ่งฮานาเอะก็จะจากไป แล้วเด็กหนุ่มก็จะกลับไปเป็นนายท่านที่เย็นชากับมนุษย์อีกครั้ง

อาศรมภูตไม่อยากเห็นภาพแบบนั้น

บางทีเธอคงต้องทำอะไรสักอย่าง

' นี่ อิตสึกิ '

ใบหน้าบูดบึ้งหันมาตามเสียงกระดิ่ง "หา?"

ถ้าไม่ใช้ลูกตรงสักหน่อยคงไม่รู้ตัวจริงๆ

' เคยคิดบ้างไหมว่าทำไมถึงเป็นห่วงฮานาเอะขนาดนั้น '

"หา?" อิตสึกิขมวดคิ้ว ก่อนจะหลบตา "ไม่ใช่ว่าเป็นห่วง...แต่หมอนั่นเคยก่อเรื่องที่ปรโลกนี่มาแล้ว แถมถ้าเป็นอะไรไปหนี้ก็..."

อ้อ ใช้ข้ออ้างแบบนั้นกับตัวเองอยู่สินะ ไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นต่อไปหรอก ' แน่ใจเหรอ~? <( ̄︶ ̄)> '

"...อยากจะพูดอะไร"

' ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่ฉันว่าอิตสึกิน่าจะลองเอาไปคิดดูอีกทีนะ ว่าเหตุผลน่ะมันใช่เรื่องหนี้จริงๆรึเปล่า '

"เหตุผล...?"

คราวนี้รอยย่นที่หน้าผากเด็กหนุ่มบุ๋มลึกยิ่งกว่าเดิม คิดหนักด้วยใบหน้าเคร่งเครียดเหมือนกับไปโกรธใครมา

ดีแล้ว คิดให้มากเข้า

แล้วรีบยอมรับมัน ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเจ็บ

"กลับมาแล้...หวา! ไหงทำหน้าตาน่ากลัวงั้นล่ะครับ!?"

"อา-ชิ-ยะ-" หน้าตาน่ากลัวที่ว่าหันควับไปหาคนที่เพิ่งเข้ามาก็หาเรื่องใส่ตัว "ช้า!! อย่าบอกนะว่าไปก่อเรื่องที่ไหนอีก"

"เปล่านะครับ! ไปส่งของเรียบร้อยแล้ว คุณสัตว์ประหลาดหิวโหยให้ขี่หลังไปส่งด้วยล่ะครับ นึกถึงโกโร่เอ็กเพรสเลย!" ฮานาเอะเล่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น ต่างจากอีกคนที่ทำหน้ามืดครึ้มลงทันตา เส้นเลือดที่ขมับนูนออกมา

ฮานาเอะ...บางทีอาศรมภูตก็เป็นห่วงความไม่ระแวดระวังอะไรเลยของเด็กคนนี้เหมือนกัน

เด็กหนุ่มผมสีดำเหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าบรรยากาศมาคุกำลังแผ่กระจาย ก้าวถอยหลังหน้าซีดเผือด

' เอ่อ เปิดประตูไปห้องทำงานของริปโปนะ ' อักษรปรากฏขึ้นก่อนระเบิดจะลง

"ขี่หลังสัตว์ประหลาดนี่หมายความว่าไง!!!"

.
.

ไม่รู้ว่าจะตลกหรือระอาใจดี ที่ดูเหมือนริปโปและโคระจะรู้ถึงความในใจของอิตสึกิก่อนเจ้าตัวเสียอีก

แน่ล่ะ พอฮานาเอะแพ้อาหารของปรโลก อิตสึกิก็กุลีกุจอข้ามไปโลกมนุษย์เพื่อไปซื้อน้ำและอะไรต่อมิอะไรมาให้ ห่วงออกหน้าออกตาขนาดนี้จะไม่ให้คนอื่นเขารู้ได้อย่างไร

"ฟู่ ค่อยยังชั่ว" ฮานาเอะลงไปนอนกลิ้งกับพื้นหลังจากดื่มน้ำหมดไปทั้งขวด กอดปุกปุยไว้แนบอก พลางดึงเสื้อคลุมกิโมโนสีแดงห่มตัว ส่วนปีศาจอีกสามตนเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่สบายจึงขอตัวกลับปรโลกไปแล้ว

"ยังจะมา 'ฟู่ ค่อยยังชั่ว' อีกเรอะ" เด็กหนุ่มอีกคนลงนั่งพับขาข้างๆ "ไม่เคยกินอาหารของทางนั้นแล้วยังจะยัดลงไปเยอะแยะ"

"ขอโทษคร้าบ..." เสียงอ่อนระโหยตอบรับ

อิตสึกิพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ยกมือขึ้นเคาะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ พูดเสียงอ่อนลง "ไปนอนที่บ้านไป"

อย่างนี้หรือที่โลกมนุษย์เรียกว่าซึนเดเระ อาศรมภูตนึกขำในใจ

ฮานาเอะงึมงำในลำคอ ขยับตัวเข้าหามือที่สัมผัสตนเมื่อครู่ ใบหน้าชื้นเหงื่อซุกเข้าหาอุณหภูมิที่ต่ำกว่า

"อือ...มืออาเบโนะซังเย็นดีจัง"

อิตสึกิตัวแข็งทื่อเป็นหิน

โอ๊ะ

ผ่านไปสิบวินาที เด็กหนุ่มผมทองถึงดูเหมือนจะได้สติคืนมา ชักมือออก ดีดหน้าผากใกล้มือนั้นเต็มแรง

"โอ๊ย!!"

"กลับ-ไป-ซะ อาศรมภูต เปิดประตู!"

เธอปรากฏประตูหน้าบ้านของฮานาเอะตามคำสั่งของผู้เป็นนาย หักห้ามใจไม่เขียนอิโมติคอนหัวเราะบนม้วนกระดาษแทบตาย

คนที่ยังมึนจากอาการป่วยคลำหน้าผากตัวเองป้อยๆ "ทำไมอยู่ๆถึงโกรธล่ะครับ..." แต่พอเห็นใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่ายก็สะดุ้งโหยง เก็บข้าวเก็บของเดินสะโหลสะเหลออกไปโดยไม่บ่นอีก

"งั้น...ไปก่อนนะครับ" ฮานาเอะพูดเสียงค่อย โบกมือหยอยๆให้กับปีศาจสองตนกับมนุษย์อีกคนที่ไม่หันมามอง ประตูทำท่าจะปิดลง แต่เจ้าของบ้านกลับโผล่หน้าออกมาอีก

"อาเบโนะซัง"

"หา?" อิตสึกิหันไปมองทั้งที่ยังทำหน้ายักษ์

เด็กหนุ่มผมสีดำอึกอัก ก่อนดวงตาสีฟ้าใสจะช้อนมอง "วันนี้ ขอโทษหลายๆอย่างนะครับ"

พูดแล้วก็รีบปิดประตูไป ทิ้งให้คนโดนดาเมจช็อตนิ่งค้าง

ฮานาเอะ...ท่าช้อนตามองนั่นท่าจะโจมตีได้หลายจุดเลยนะ

หลายนาทีกว่าอิตสึกิจะค่อยๆลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาใกล้ม้วนกระดาษแขวน อาศรมภูตนึกกลัวว่าเด็กหนุ่มจะชกผนัง ถึงจะเป็นห้องชงชาแต่ก็เจ็บเป็นนะ

แต่โชคดีที่เขาแค่ถอนหายใจเฮือกยาว กุมขมับ แล้วทิ้งน้ำหนักพิงกำแพงตรงเฉลียงทั้งตัว

ใบหูของเขาแดงก่ำ

' รู้ตัวแล้วสิน้า อิตสึกิ \(≧▽≦)/ '

เด็กหนุ่มเหลือบมอง ถอนหายใจอีก "...ก็เพราะใครล่ะ"

' เพราะฉันไงล่ะ (ฮา) '

"ไม่ต้องมาหัวเราะเลย"

' (◕‿◕✿) '

อิตสึกิเดาะลิ้น ก่อนสีหน้าหงุดหงิดจะคลายออกเป็นเรียบเฉย เขาเบนสายตาลงพื้น ปีศาจในรูปห้องชงชาเองก็ไม่หยอกล้อต่อ ปุกปุยกระโดดมานั่งเบาะประจำบนเฉลียง เหลือบตาขึ้นมองมนุษย์เพียงคนเดียวในห้อง

หลังจากปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงมาได้พักใหญ่ เสียงกระดิ่งที่ฟังดูจริงจังกว่าทุกครั้งก็ดังขึ้น

' นี่ อิตสึกิ ความจริงฉันไม่อยากก้าวก่ายหรอกนะ '

' แต่ยังไงก็อยากให้รู้ตัว แล้วอิตสึกิจะตัดสินใจยังไงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง '

ผู้เป็นนายอ่านข้อความโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า

อาศรมภูตเงียบไปพักใหญ่จนอีกฝ่ายคิดว่าหมดเรื่องพูดแล้ว แต่เสียงกรุ๊งกริ๊งก็กลับมาสดใสอีกครั้ง ' ถ้าเป็นฮานาเอะล่ะก็ต้องทำให้อิตสึกิมีความสุขได้แน่ๆ ฉันเชียร์นะ ♪ '

อิตสึกิเอียงคอ แค่นยิ้ม "อย่างกับว่าหมอนั่นก็รู้สึกแบบนั้นกับฉันงั้นแหละ"

ก็ใช่น่ะสิ

อาศรมภูตไม่ได้บอกออกไป

ความรู้สึกที่สำคัญ ถ้าไม่ได้ออกมาจากปากเจ้าตัว ก็ไม่มีความหมาย

ดวงตาสีทองหรี่ลง ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เขาแตะกระดิ่งให้มันส่งเสียงเล่น ก่อนจะเอ่ยแผ่วเบา "หมอนั่นกับฉันน่ะ ต่างกัน"

ต่างกัน

อาศรมภูตไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มหมายถึงเรื่องอะไร รูปแบบของความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่าย...หรือความเป็น'มนุษย์ธรรมดา'ที่อิตสึกิมักจะใช้เป็นกำแพงกั้นระหว่างตนเองกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว

คนอื่นเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ตนไม่ใช่

แปลก น่ากลัว น่าขนลุก น่าขยะแขยง

มนุษย์มักจะหวาดกลัวและปฏิเสธในสิ่งที่ตนไม่เห็นและไม่เข้าใจ เธอไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่าเด็กคนนี้เคยถูกทำร้ายด้วยคำพูดแบบไหน บาดแผลที่ไม่ใช่แค่บนร่างกายนั้นฝังลึกมากเพียงใด

แต่...

อักษรสีดำปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ' ฉันไม่คิดว่าฮานาเอะจะเห็นด้วยหรอกนะ เนอะ ปุกปุย '

ก้อนขนสีขาวพยักหน้าหงึกๆ อิตสึกิเขม่นมองปีศาจทั้งสองตน

"ตกลงว่าจะให้ฉันบอกให้ได้?"

' เปล่านะ อย่างที่เคยบอก ฉันเคารพการตัดสินใจของนายของฉัน '

กระดิ่งลมส่งเสียงนุ่มนวล

' ก็แค่...ชีวิตมนุษย์มันสั้นนะ อิตสึกิ '

อย่างน้อยสำหรับปีศาจอย่างอาศรมภูตก็เป็นเวลาที่สั้นเหลือเกิน จนไม่อยากให้ใช้ไปกับความเสียใจ

อีกฝ่ายนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรข้อความนั้น

.
.

หลังจากนั้น ท่าทางอิตสึกิจะคิดหนักน่าดู

อาศรมภูตเองก็ไม่รู้ว่าคิดหนักเรื่องจะบอกหรือไม่บอก หรือเรื่องจะบอกตอนไหนอย่างไร แต่ที่รู้ๆคือเพราะเป็นคนมีสมาธิสูงอยู่แล้ว ที่ดูใจลอยอยู่ตลอดเวลาก็คงเพราะคิดอยู่ และในหัวมีแต่เรื่องฮานาเอะแน่นอน

แต่ฝ่ายนั้นเขาไม่รู้ นี่สิปัญหา

"อาเบโนะซัง ลูกค้าวันนี้เป็นปีศาจแบบไหนหรือครับ"

เงียบ

"อ๊ะ หรือว่าคราวนี้เป็นมนุษย์ครับ"

เงียบ

"อา เบ โนะ ซัง!"

ขนาดถูกเรียกเน้นคำเสียงดัง อิตสึกิก็ยังไม่กระดิกแม้แต่เซนต์เดียว ฮานาเอะเริ่มทำหน้ามุ่ยตามประสาคนไม่ชอบถูกเมิน

จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้นายของอาศรมภูตก็มักจะตั้งสมาธิกับอะไรสักอย่างจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอยู่บ่อยๆ และเด็กหนุ่มผมสีดำเองก็เริ่มเคยชินบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้อิตสึกิเป็นแบบนี้ต่อเนื่องกันมาหลายวัน ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะไม่พอใจ

ตั้งใจคิดมันก็ดีอยู่หรอก...แต่แบบนี้ฮานาเอะน่าสงสารนะ

เมื่ออีกคนไม่มีท่าทางจะตอบรับ คนพยายามชวนคุยก็นิ่งเงียบไป ต่างจากทุกทีที่จะส่งปุกปุยไปเรียก แต่ถึงจะไม่มีคำสั่ง ก้อนขนกลับวิ่งพรวดเข้าไปเอง กระโดดเกาะแขนเสื้อกิโมโนด้วยสีหน้าร้อนใจ

"อะ...!?" ในที่สุดเด็กหนุ่มก็สะดุ้งรู้สึกตัว มองปีศาจตัวกลมที่ทำหน้าซีด ขาเล็กๆชี้ไปทางมนุษย์อีกคนยิกๆ

พอหันตามไปก็เห็นคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งนั่งก้มหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งสุดขีด แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากถาม ฮานาเอะก็ลุกพรวด

"พอกันที!!!!!"

อา ฟิวส์ขาดซะแล้ว

อิตสึกิกับปุกปุยที่ยังเกาะอยู่ที่แขนเสื้อเงยหน้าขึ้นมองอึ้งๆ "หา? อะไ..."

"ถ้าโกรธอะไรผมก็บอกมาตรงๆสิ! นี่ไม่มองหน้าผมมาสี่วัน...สี่วันแล้วนะครับ!! ชวนคุยก็เงียบ ถามอะไรก็ไม่ตอบ! ถ้าจะเมินกันแบบนี้โกรธมาเลยยังจะดีกว่า ไม่สิ ความจริงผมก็ไม่ชอบถูกโกรธเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าถูกเมินแหละ!!"

"เดี๋ยว นี่นายพูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว..." คนถูกตะโกนใส่ลุกขึ้น เดินเข้าไปหา แต่อีกคนที่สติแตกไปแล้วไม่แม้แต่จะหยุดฟัง

ฮานาเอะสูดหายใจเข้าทีหนึ่งแล้วใส่ต่อ ยิ่งพูดยิ่งโกรธจนน้ำตาคลอ "ถ้าเซ้าซี้ถามเดี๋ยวก็บอกว่าหนวกหูน่ารำคาญอีก! ยังไงอาเบโนะซังก็เกลียดผมอยู่แล้ว ก็ไม่อยากถูกเกลียดมากกว่าเดิมนี่นา ผมไม่ชอบถูกโกรธหรือถูกเมินที่สุด แต่อาเบโนะซังทำทั้งสองอย่างประจำเลย! คนอะไรแย่ที่สุด ขี้โมโห ใจร้อน หน้าบูด ไม่เคยจะฟังที่คนอื่นเค้าพูด"

"เฮ้ย!" อิตสึกิถูกด่าเป็นชุดจนเริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง

"ทำไมผมต้องชอบคนอย่างอาเบโนะซังด้วยก็ไม่รู้!!!"

อาศรมภูตถึงกับอึ้ง พูดไปแล้ว...!

แต่ดูเหมือนคนพูดจะไม่รู้ตัว ระบายอารมณ์เสร็จก็หอบหายใจ อิตากินิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้ามือที่กำลังจะยกขึ้นปาดน้ำตาไว้แน่น

"เมื่อกี้...นายพูดอะไร"

"พูดอะไ...อ๊ะ!!!" ฮานาเอะทำหน้างุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าตนเพิ่งพูดอะไรออกไป เลือดทั้งตัวไหลมากองอยุ่ที่หน้า สีหน้าแบบว่าพลาดไปแล้ว "อะ..เอ่อ...เอ่อ! เมื่อกี้ เมื่อกี้ผมเลือดขึ้นหน้าเลยพูดมั่วซั่วไม่รู้เรื่อง ใช่ๆ พูดไม่รู้เรื่องครับ! ลืมมันไปเถอะครับ!"

"...บ้ารึเปล่า จะลืมได้ยังไง"

"นั่น...สินะครับ..."

คราวนี้เด็กหนุ่มผมสีดำทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย อิตสึกิเองก็เบนสายตาไปทางอื่น คลายแรงที่กำข้อมือของคนตรงหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะพึมพำเบาๆ "เคยพูดว่าเกลียดเมื่อไหร่กัน"

ดวงตาสีฟ้าที่หวาดกลัวเหลือบขึ้นมอง "อาเบโนะซัง...?"

เด็กหนุ่มผมทองทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก บังคับตัวเองให้หันกลับไปสบตา เค้นคำพูดออกมาอย่างยากเย็น

"ชอบ...ต่างหาก"

"...เอ๊ะ?" คนฟังเงยหน้าขึ้น สมองค่อยๆประมวลผล ทำหน้าเหวอขึ้นเรื่อยๆ

"เอ๋!!!?"

คนเพิ่งสารภาพปล่อยมืออีกฝ่ายทันที ยืนกอดอก หันหน้าไปอีกทาง

"เอ๊ะ? ฮะ? ชะ...ชะ...ชะ...ชอบนี่..." ฮานาเอะก้าวเข้าไปหาคนตรงหน้าหนึ่งก้าว ยังไม่เชื่อหูตัวเอง "ชอบนี่คือชอบแบบเดียวกับผมเหรอครับ!?"

"แล้วฉันจะไปรู้เรอะว่าชอบของนายคือแบบไหน"

"อ่ะ เอ่อ ก็แบบ..." อิตสึกิมองเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังคิดหาคำพูด ถอนหายใจ

เขาลังเลเล็กน้อย แล้วตัดสินใจก้าวเข้าไปใกล้คนที่ส่วนสูงพอกัน พอฮานาเอะเริ่มรู้สึกว่าใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ผิดปกติ ริมฝีปากของพวกเขาก็แตะกันเบาๆไปแล้ว และผละออกไปก่อนที่จะได้ตกใจเสียอีก

"...ของฉัน คือแบบนี้" เด็กหนุ่มพูดกดเสียงต่ำ ด้วยสีหน้าทะมึนที่ปีศาจห้องชงชาคิดว่าคงทำเพื่อกลบเกลื่อนความอาย "เข้าใจรึยัง"

คนถูกขโมยจูบไม่ทันตั้งตัวแก้มแดงก่ำ ก่อนน้ำตาจะไหลลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

อิตสึกิชะงัก ถอยหลังโดยไม่รู้ตัว "เฮ้ย..."

แต่แล้วคนที่เหมือนจะร้องไห้อยู่เมื่อครู่กลับขำพรืด เอามือปิดปากหัวเราะเสียอย่างนั้น คราวนี้มนุษย์อีกคนยิ่งทำอะไรไม่ถูกหนักกว่าเดิม

ฮานาเอะพูดกลั้วหัวเราะผ่านนิ้วมือ "อาเบโนะซัง...ทำหน้าน่ากลัวเกินไปแล้ว"

"หา!?"

เด็กหนุ่มที่ยังขำไม่หยุดเอามือออก เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มกว้างทั้งน้ำตา "ชอบของผมก็เหมือนกันครับ! ดีใจสุดๆเลย"

นั่นเป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดของฮานาเอะที่อาศรมภูตเคยเห็น

คนมองกลั้นหายใจ คิ้วที่ขมวดอยู่เสมอคลายออก แล้วริมฝีปากก็ค่อยๆโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาเอียงคอ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอีกฝ่าย "เจ้าบ้า...หน้าตาดูไม่ได้เลย"

และนั่นเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดของอิตสึกิที่อาศรมภูตเคยได้ยิน

"ใจร้าย..." ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่ฮานาเอะก็ยังยิ้มไม่หุบ เช่นเดียวกับคนที่อยู่ตรงหน้า บรรยากาศสีชมพูลอยอบอวลทั่วห้อง โดยมีปุกปุยยืนมองด้วยสีหน้าดีอกดีใจ

ลืมไปแล้วล่ะสิว่าเราก็ดูอยู่

อาศรมภูตคิดอย่างเบิกบาน ในที่สุดเด็กสองคนนี้ก็สื่อความรู้สึกถึงกันได้เสียที ในฐานะที่เฝ้ามองมาตลอด บางทีคนที่ดีใจที่สุดก็คือเธอนี่แหละ

เด็กหนุ่มทั้งสองชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง ที่ไม่ใช่แค่ดังกรุ๊งกริ๊งเหมือนทุกครั้ง แต่ดังเป็นจังหวะเหมือนเพลง...ที่ฟังดูคุ้นหู

Here comes the bride

ทันทีที่ฟังออกว่าเป็นเพลงอะไร ฮานาเอะก็ตัวแข็งทื่อ หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ส่วนนายของเธอก็หันควับมาทางต้นเสียง อ้าปากค้าง "อาศรมภูต!"

' เอ๋? อะไรเหรอ ( • v • ) ' ข้อความปรากฏขึ้นโดยที่ยังไม่หยุดเสียงเพลง

เด็กหนุ่มผมดำเอามือปิดหน้า พูดเสียงสั่น "พอเถอะ...ลืมสนิทเลยว่าอาศรมภูตก็เห็นด้วย"

ผู้เป็นนายกระแอม ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ "เลิกเล่นสักที อาศรมภูต เปิดประตูไปที่นัดพบ ใกล้จะถึงเวลาที่แขกนัดแล้ว"

เสียงกระดิ่งหยุดลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก ' รับทราบจ้า-- '

ดวงตาสีทองเหลือบมองคนที่กำลังตบๆแก้มตัวเองให้หายแดง พูดเสียงเบา "เสร็จงานวันนี้ค่อยว่ากัน"

"อ๊ะ...ครับ!" ฮานาเอะยิ้ม อุ้มปุกปุยขึ้นมา แล้วเดินตามเจ้านายที่กำลังจะเลื่อนสถานะเป็นอย่างอื่นออกนอกประตูไป

ปีศาจในร่างห้องชงชาที่ถูกทิ้งไว้ตนเดียวสั่นกระดิ่งเล่นเพลงเดิมอย่างมีความสุข

 

อิตสึกิที่โดดเดี่ยวอยู่ระหว่างกลางโลกมนุษย์และปีศาจ ตอนนี้มีคนอยู่เคียงข้างแล้ว

ดีจังเลยเนอะ อาโออิ

ทั้งสองคนอายุยังน้อย วันข้างหน้ายังต้องพบเจออะไรอีกมากมาย พบกับปีศาจและมนุษย์อีกหลากหลาย อาจจะเจออุปสรรคใหญ่หลวง มีเรื่องไม่เข้าใจกัน หรือต้องทะเลาะกันอีกนับครั้งไม่ถ้วน

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อาศรมภูตก็เชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เป็นไร

โดยเธอเองก็จะอยู่เคียงข้าง เฝ้ามอง และทำให้พวกเขายิ้มให้กันได้อีกครั้ง ด้วยความสามารถทั้งหมดที่ปีศาจสักตนหนึ่งจะมี

 

แด่มนุษย์...ผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรา