Work Text:
เซ็นคูไม่ค่อยให้ความสำคัญกับวันเกิดสักเท่าไร
วันที่ 4 มกราคม
สำหรับเขาแล้ว วันเกิดก็เป็นแค่วันที่นับอายุร่างกายได้ครบรอบปีแบบไม่มีเศษวันเท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องเฉลิมฉลองหรือโพนทะนาบอกใครไปทั่ว คนที่รู้วันเกิดของเขาจึงมีเพียงไม่กี่คน
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูหนาว ตั้งแต่จำความได้เขาจึงมักจะใช้เวลาไปกับการวิจัยทดลองทั้งวัน สิ่งที่ต่างไปจากปกติก็มีแค่เสียงตะโกนดังลั่น “เซ็นคู!!! สุขสันต์วันเกิด!” ของไทจุที่แวะมาที่บ้านของเขาทุกวันตลอดปิดเทอม ทุกครั้งเขาก็เพียงตอบรับเออออไปตามเรื่อง แล้วลากอีกฝ่ายมาช่วยงานตามปกติ
คนที่ตื่นเต้นกับวันที่ไม่ได้พิเศษอะไรนั้น เห็นจะมีแค่เบียคุยะคนเดียว
ต่อให้เซ็นคูทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ พ่อบุญธรรมคนนั้นก็ยืนกรานจะลากเขาออกจากห้อง ไปกินราเม็งร้านประจำ และซื้อเค้กที่พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ชอบกินเป็นพิเศษกลับบ้าน แม้แต่หลังจากเจ้าตัวย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเพื่อฝึกเป็นนักบินอวกาศ เซ็นคูก็จะได้รับสายวิดีโอคอลตอนเที่ยงคืนทุกปีไม่เคยขาด
จนกระทั่งมนุษย์ทุกคนบนโลกได้กลายเป็นหิน
ในโลกยุคหินที่มีเรื่องให้ทำมากมายเต็มไปหมดนี้ ความสำคัญของวันเกิดยิ่งลดน้อยลงไปอีก ฤดูหนาวของ 3700 ปีให้หลังที่ไม่มีทั้งภาวะโลกร้อนและฮีตเตอร์นั้นไม่ง่ายดายเลย แค่หาอาหารประทังชีวิตไปพร้อมกับคิดค้นน้ำยาคืนสภาพก็เต็มกลืน เป็นธรรมดาที่เซ็นคูจะไม่ได้แบ่งพื้นที่สมองมานึกถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นในวันเกิดปีแรกหลังจากฟื้นจากการเป็นหิน เขาจึงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อไทจุกลับมาที่ฐานของพวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและกระต่ายในมือ
5739.01.04
“เซ็นคู!!! วันนี้นายอายุ 16 แล้วสินะ!”
“หา? อ้อ วันนี้ 4 มกราคมนี่นะ” เซ็นคูโคลงศีรษะเมื่อนึกขึ้นได้ แม้จะมีปฏิทินอยู่ในหัว แต่กลับไม่ได้นึกเชื่อมโยงถึงวันเกิดของตนเอง “แกก็ยังอุตส่าห์นึกออกอีกนะ”
“ฮ่าๆ ก็เมื่อวันก่อนนายบอกว่าเป็นวันปีใหม่ใช่มั้ยล่ะ!”
“แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ครบ 16 วันนี้สักหน่อย”
“เอ๊ะ ไม่ใช่หรอกเหรอ!?”
หลังจากถูกทำให้กลายเป็นหิน ปฏิทินของร่างกายก็รวนไปหมด แม้แต่ความหมายที่ว่าวันเกิดคือ ‘วันที่นับอายุร่างกายได้ครบรอบปีแบบไม่มีเศษวัน’ ก็ไม่ถูกต้องเสียแล้ว
“ก็นะ ถ้าไม่นับช่วงที่ติดอยู่ในหินเพราะร่างกายถูกฟรีซไว้ วันนี้ฉันก็มีอายุ 5,907 วัน คิดเป็น 16 ปีกับ—”
เขาหยุดพูดเมื่อเห็นสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกของเพื่อนสนิท “เออ ช่างเหอะ ยุ่งยากเปล่า ๆ นับที่วันนี้นั่นแหละ”
“โอ้ งั้นก็เอาตามนั้น!” ไทจุหัวเราะลั่น “ว่าแต่ดูนี่สิ! พอไปวางกับดักตามที่เซ็นคูบอกก็ได้กระต่ายมาจริง ๆ ด้วยล่ะ โชคดีสุด ๆ ไปเลยเนอะ อย่างกับเป็นของขวัญวันเกิดจากพระเจ้าแน่ะ!”
“อ้อ วันก่อนเห็นรังอยู่แถวนั้นน่ะสิ กระต่ายมันไม่จำศีลแล้วอาหารของเจ้าพวกนี้ในฤดูหนาวก็มีจำกัด ถ้าวางกับดักพร้อมเหยื่อล่อไว้ใกล้ ๆ รังของพวกมันก็มีโอกาสล่าได้มากกว่าฤดูอื่นอีก”
“ในที่สุดก็จะได้กินเนื้อสักทีสินะ!”
ไทจุคว้ามีดหินขึ้นมาอย่างลิงโลด แต่แล้วก็ชะงักกึกเมื่อเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเจ้าสัตว์ตัวน้อย
“ตะ แต่มันก็น่าสงสารเหมือนกันนะ”
“มาใจอ่อนอะไรอีก มันซี้แหงแก๋ไปเป็นชาติแล้วเฟ้ย” เซ็นคูชี้ร่างของกระต่ายที่ตายมาแล้วอย่างต่ำ 2 ชั่วโมง มันคงจะหนาวตายหลังจากติดกับดักของพวกเขา เขาทำหน้าระเหี่ยใจใส่เพื่อนที่ทำหางลู่หูตกไม่เลิก “เฮ้อ เอามานี่ ฉันจัดการเอง”
“เหวอออ เจ้าคนใจดำ!” ไทจุร้องโวยเมื่อเขาทำท่าจะคว้าเหยื่อที่จับได้มาถลกหนัง “อย่างน้อยก็ขอสวดมนต์ให้มันไปสู่สุคติก่อนเถอะ!”
เซ็นคูกลอกตา แต่ก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ไทจุพนมมือพึมพำบทสวดมั่วซั่ว สักพักก็เบิกตาโพลง
“จะว่าไปตอนประถมยุสึริฮะเคยทำหน้าที่เลี้ยงกระต่ายของโรงเรียนนี่นา! เจ้าตัวนี้เป็นลูกหลานของพวกมันรึเปล่า!? ถ้ายุสึริฮะรู้เข้าจะเกลียดฉันมั้ยเนี่ย!!!?”
“กระต่ายมีอายุขัยอย่างมากแค่สิบกว่าปี ผ่านไปหลายพันปีจะยังมานับญาติอะไรได้อีกฟะ” เขาเป่าลมหายใจอุ่น ๆ ใส่มือที่เย็นเยียบจนแข็งพลางตอบหน้าตาย “แล้วนี่มันก็ยุคหิน ล่าสัตว์เอาชีวิตรอดเป็นเรื่องปกติ ยัยนั่นไม่ใช่คนไร้เหตุผลที่จะไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้สักหน่อย”
“มันก็ใช่อยู่หรอก…”
ดวงตาสีแดงเหลือบมองเพื่อนสนิท หยิบไม้มาเขี่ยกองไฟพลางเอ่ย
“มีเนื้อให้กินก็กินเข้าไปซะ ไม่งั้นจะเอาแรงที่ไหนมาช่วยฉันวิจัยน้ำยาคืนสภาพ แกจะช่วยยุสึริฮะไม่ใช่รึไง ถ้าทำไอ้น้ำยานั่นไม่สำเร็จก็ไม่ต้องคิดเรื่องจะถูกเกลียดรึเปล่าเลยเหอะ”
“...นั่นสินะ!” ไทจุยืดอก พนมมือให้กระต่ายตัวน้อยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะส่งให้เซ็นคู “อมิตาภพุทธๆๆ ถึงจะรู้สึกผิด แต่ก็ขอกินอย่างขอบคุณละนะ!”
“เออ ไม่ให้ส่วนไหนต้องเสียเปล่าแน่”
เขาจัดการเหยื่อขนปุกปุยอย่างระมัดระวัง เก็บหนังและขนไว้ทำอุปกรณ์กันหนาว แยกเนื้อออกมาโรยเกลือแล้วเอาไปย่างไฟ
ในฐานะวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 เขาเองก็ย่อมไม่คุ้นเคยกับการชำแหละสัตว์ ยังดีที่มีความรู้ด้านกายวิภาคและประสบการณ์ในการทดลองจริงอยู่บ้างจึงไม่เป็นปัญหา ถ้ามีโอกาสได้ทำบ่อย ๆ ก็คงชำนาญกว่านี้ แต่ติดปัญหาตรงที่พวกเขาแทบจะล่าสัตว์ไม่ได้เลย
การล่าสัตว์ไม่อยู่ในขอบเขตความถนัดของทั้งเขาและไทจุ โปรตีนจากเห็ดหรือพืชก็มีจำกัด ตอนที่ปลุกยุสึริฮะขึ้นมาได้ก็คงจะลำบากยิ่งกว่านี้
ดังนั้นถ้าว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่ควรจะปลุกยุสึริฮะขึ้นมาเป็นคนแรก
ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่มีความสามารถ ทักษะด้านงานฝีมือของยุสึริฮะเองก็มีประโยชน์สารพัด แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการที่สุดในเวลานี้คือคนที่ล่าสัตว์ได้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเสบียง อีกอย่างการถูกปลุกขึ้นมาในสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สะดวกสบายแบบนี้ก็สร้างความลำบากต่อเจ้าตัวเองเช่นกัน
แต่เจ้ายักษ์คงจะไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลยสักมิลเดียว
จะโทษความสมองทึ่มของไทจุอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะความรักมันก็เป็นเรื่องไร้ตรรกะและยุ่งยากแบบนี้ เคยมีงานวิจัยพบว่าสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เท็กซ์ของคนที่กำลังนึกถึงคนรักจะทำงานน้อยลง มันคือส่วนที่ทำหน้าที่ในการตัดสินใจและคิดอย่างมีตรรกะ—พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นเรื่องปกติที่คนมีความรักจะตัดสินใจโง่ ๆ
ไม่สามารถหยุดคิดได้ว่าอะไรดีต่อตัวเอง อะไรดีต่ออีกฝ่าย
ไม่อาจจินตนาการถึงภาพอื่นนอกจากภาพที่ได้อยู่เคียงคู่กัน ความเอาแต่ใจสุดกู่ที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวและหักห้ามไม่ได้
จุดแข็งของมนุษย์คือความสามารถในการใช้หลักเหตุผลยับยั้งสัญชาตญาณ ดังนั้นถ้าเปรียบเป็นเกมละก็…นี่คือดีบัฟสุดโกงที่ลบล้างจุดแข็งนี้จนเกลี้ยง สมควรถูกจัดว่าเป็นบั๊กแล้วด้วยซ้ำ
เซ็นคูไม่เคยประสบกับ ‘บั๊กของมนุษยชาติ’ นี้ด้วยตัวเอง และไม่คิดอยากสัมผัส โดยเฉพาะในสโตนเวิร์ลแห่งนี้ที่มีเรื่องอื่นให้คิดเป็นภูเขาเลากา
เสียงไม้ลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นจากท่อนฟืนในกองไฟ
“เอ้า ย่างได้ที่แล้ว”
กลิ่นหอมเย้ายวนใจโชยไปทั่ว เขาส่งไม้เสียบเนื้อกระต่ายไม้หนึ่งให้ไทจุที่รับไปทั้งน้ำสายสอเต็มปาก ดูท่าความรู้สึกผิดบาปเมื่อครู่จะปลิวหายไปเกลี้ยงแล้ว
…ไม่ว่าตัวเขาเองจะคิดอย่างไรเรื่องปลุกยุสึริฮะ เขาก็ไม่คิดจะโน้มน้าวให้ไทจุเปลี่ยนใจ
เจ้าบ้าสมองกล้ามที่ประคองสติมาได้หลายพันปีเพื่อสารภาพรัก เซ็นคูไม่ได้โง่ถึงขนาดจะคิดว่าเปลี่ยนใจคนพรรค์นี้ได้ ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่จะทำให้ไทจุสงบใจลงได้ อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่ยุสึริฮะที่เขารู้จักน่าจะถึกทนพอที่จะอยู่รอดในสภาวะแวดล้อมของโลกยุคหิน อีกอย่าง ใช่ว่าจะหาเซียนล่าสัตว์จากศตวรรตที่ 21 เจอได้ง่าย ๆ เสียที่ไหน
ถึงอย่างไรก็ต้องชุบชีวิตคืนมาทุกคนอยู่แล้ว ใครจะเป็นคนแรกก็ไม่ได้สำคัญมากมาย
พวกเขากัดเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ลิ้มรสมาเป็นเดือนพร้อมกัน รสสัมผัสชุ่มฉ่ำติดเกรียมนิด ๆ กลบทับความคิดทุกอย่างลงไป ทำเอาเด็กหนุ่มวัยกำลังโตทั้งสองคนน้ำตาไหลพราก
“อร่อยยยย!!!”
ไทจุตะโกน “ของขวัญจากพระเจ้าสุดยอด!!! เซ็นคู สุขสันต์วันเกิด!!!”
“จากพระเจ้าที่ไหนกันฟะ ไปวางกับดักเองแท้ ๆ”
แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่มุมปากของเขายกขึ้นเมื่อได้ฟังคำอวยพรวันเกิดทื่อมะลื่อที่คุ้นเคย
ผ่านไป 3700 ก็ยังพูดประโยคเดิมเป๊ะ
นอกจากเจ้ายักษ์นี่แล้ว…ยังมีอีกคนที่พูดประโยคเดิมซ้ำซากได้ทุกปี
ดวงตาสีแดงหลุบลง กองไฟแผ่ไออุ่นออกมาต่อสู้กับลมหนาวและหิมะขาวโพลน เสียงของคนคนนั้นยังแจ่มชัดในความทรงจำ คนที่อยู่บนอวกาศในวันที่มนุษย์ทุกคนบนโลกกลายเป็นหิน
ลำแสงสีเขียวนั่นแผ่ออกไปในรัศมีเท่าไร มันส่งผลไปถึงสถานีอวกาศที่เบียคุยะอยู่รึเปล่า
ตลอดเวลาที่นับวินาทีอยู่ในความมืดมิด บางครั้งคำถามจำพวกนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา
สิ่งที่ตามมาคือสมมติฐานที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่ว่าคนบนสถานีอวกาศจะกลายเป็นหินหรือไม่ หากว่าพวกเขาติดต่อกับภาคพื้นดินไม่ได้ สุดท้ายเชื้อเพลิงก็คงหมด ในที่สุดสถานีอวกาศก็จะตกลงสู่ชั้นบรรยากาศของโลกและถูกเผาไหม้ คนหรือรูปปั้นหินบนนั้นก็คงไม่เหลือซาก และหากว่าพวกเขาหาทางลงจอดบนโลกได้ด้วยตัวเอง…ก็คงจะหมดอายุขัยไปนานโขแล้ว
มีเพียงกรณีเดียวที่ผลต่างออกไป คือกรณีที่นักบินอวกาศกลุ่มนั้นกลับลงมายังโลกและถูกทำให้กลายเป็นหินเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนั้น…รูปปั้นหินของเบียคุยะจะยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้
แม้โอกาสจะน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย
เซ็นคูลอบถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าเขาเสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้ไปกี่รอบแล้ว ทั้งที่รู้ว่าคิดไปก็เปล่าประโยชน์ ทางเดียวที่จะรู้แน่ชัดได้ก็มีแค่ไขปริศนาสาเหตุที่ทำให้ทุกคนกลายเป็นหินและฟื้นฟูอารยธรรมกลับมา พอมนุษยชาติและเทคโนโลยีกลับมาแล้วถึงจะมีหนทางในการตามหายานโซยุส
ไม่มีเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ แล้ว
เขายังไม่ทันจะได้เริ่มก้าวที่หนึ่งเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือกินให้อิ่ม พักผ่อนให้พอ รักษาร่างกายให้ไม่เจ็บป่วย เอาชีวิตรอดไปจนกว่าจะคิดค้นน้ำยาคืนสภาพได้สำเร็จ จากนั้นจึงจะถึงคิวของเกมสร้างอารยธรรมที่แสนจะน่าตื่นเต้น
เซ็นคูลุกขึ้นยืนแล้วใช้เท้าเขี่ยหลังของเพื่อนที่นั่งผึ่งพุงอยู่ “เฮ้ กินเสร็จแล้วก็ไปทำงานต่อ เดี๋ยวต้องกลั่นไวน์เพิ่มอีกนะเฟ้ย เหลือสูตรน้ำยาคืนสภาพที่ยังไม่ได้ทดลองอีกเพียบ”
“โอ้!”
.
.
วันเกิดครั้งที่สองหลังจากฟื้นขึ้นมาในโลกยุคหิน เซ็นคูลืมไปเสียสนิท
อันที่จริงใช้คำว่าลืมก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ต้องบอกว่าเขามั่นใจหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์ว่าวันนั้นจะเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง จึงตัดเรื่องวันเกิดของตนเองออกจากสมองไปแล้วต่างหาก
เขาอยู่ท่ามกลางคนที่เกิดในต่างยุคสมัย ไม่มีทางมีใครรู้วันเกิดของเขา ไทจุกับยุสึริฮะเองก็อยู่ในฐานทัพของศัตรูอันห่างไกล ทั้งสมาร์ตโฟนและเบียคุยะต่างก็ไม่เหลือแม้แต่ฝุ่น
ความจริงที่เขาค้นพบในหมู่บ้านอิชิกามิลบล้างโอกาสอันน้อยนิดออกไปจนหมดสิ้น
เขาไม่มีวันได้ยินเสียงของตาแก่นั่นอีกแล้ว
แต่ก็ไม่มีเวลาให้ฟูมฟาย สงครามกำลังใกล้เข้ามาทุกที มันคือสงครามที่ไม่ได้เดิมพันแค่ชีวิตของเขา แต่รวมไปถึงชีวิตของเพื่อนสนิททั้งสองคน และคนในหมู่บ้านแห่งนี้ที่เซ็นคูลากเข้ามาเกี่ยว—เหล่าผู้คนที่บรรจุเศษเสี้ยวของเบียคุยะและนักบินอวกาศผู้เหลือรอดเอาไว้
โชคดีที่พวกเขาค้นพบทังสเตนและทลายทางตันในการสร้างโทรศัพท์ได้ แถมในถ้ำเดียวกันยังพบแร่อื่น ๆ ที่มีประโยชน์อีกเป็นกระบุง งานที่เหลือของทีมสำรวจถ้ำอย่างพวกเขาสามคนก็แค่ขนแร่กลับไปให้มากที่สุดเท่าที่จะแบกไหว ลากสังขารกลับไปหมู่บ้าน แล้วก็นอนสลบเหมือดด้วยความเหนื่อยล้าสะสมจากการตะลุยดันเจี้ยนสามวัน เท่านี้วันธรรมดา ๆ ก็จบไปอีกวัน
ควรจะเป็นแบบนั้น
แต่กลับมีใครบางคนมาทำให้ผิดแผนซะได้
5740.01.04
“โอะโฮ้ ก็วันนี้เป็นวันที่ 4 มกราคมไม่ใช่รึไง!”
“ฉันได้ยินว่าเป็นวันเกิดของนายหรอกนะ เซ็นคู!”
ผ้าปิดตาถูกปลดออก ตรงหน้าคือกล้องโทรทรรศน์ดูดาวที่ทำจากท่อไม้ไผ่และเลนส์แก้ว 2 ชิ้น ขนาดและระยะห่างของเลนส์ไม่ได้ผ่านการคำนวณตามหลักการหักเหแสง ส่องขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นแค่จุดสว่างเบลอ ๆ
—แต่เขากลับมองเห็นดาวเสาร์สะท้อนอยู่ในนั้น
ดาวเคราะห์ดวงแรกที่เขาส่องเห็นด้วยกล้องโทรทรรศน์สำหรับมือใหม่ที่ได้รับมา ฝีมือการปรับโฟกัสของเด็ก 6 ขวบทำให้ภาพที่เห็นห่วยแตกสิ้นดี หลายปีจากนั้นเจ้ากล้องรุ่นพื้นฐานที่ว่าก็ถูกนำมาแกะ งัด แงะ เปลี่ยนส่วนนั้น เพิ่มส่วนนี้ อัพเกรดเสียจนสภาพไม่เหลือเค้าเดิม
แต่ไม่ว่าภาพอวกาศที่เขามองเห็นด้วยกล้องดูดาวเลเวลอัพจะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด สุดท้ายแล้วภาพที่ฝังลึกในฮิปโปแคมบัสกลับเป็นดาวเสาร์ที่ไม่คมชัดดวงนั้น
ความทรงจำเมื่อหลายพันปีก่อนถูกฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งด้วยกล้องดูดาวยุคหินตัวนี้
“มันใช้การได้จริง ๆ เหรอ~ เจ้ากล้องดูดาวอันนั้นน่ะ”
เซ็นคูละสายตาจากเลนส์แล้วหันไปมองต้นเสียง เก็นยื่นชามไม้มาให้พร้อมกับรอยยิ้ม ควันอุ่น ๆ และกลิ่นชวนน้ำลายสอของน้ำซุปโชยออกมา
ตอนนี้พวกคนในหมู่บ้านกำลังรวมตัวกันกินดื่มอยู่ด้านล่าง อ้างว่ารอแสงอาทิตย์แรกเพื่อพิสูจน์ทังสเตนที่เพิ่งขนกลับมา ไหน ๆ แล้วก็อาศัยโอกาสนี้ในการฉลองโต้รุ่งเสียเลย เขาไม่ได้ลงไปร่วมวงด้วยเพราะคิดว่าจะนอนสักงีบ แต่อะดรีนาลีนกลับทำให้ความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียที่สะสมมามลายหายไปดื้อ ๆ ในเมื่อนอนไม่หลับเขาจึงลุกขึ้นมาทดลองใช้ของขวัญที่เพิ่งได้รับมาส่องนู่นนี่ไปเรื่อย ๆ พลางฟังเสียงหัวเราะพูดคุยของคนด้านล่าง
พอเห็นอาหารถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เที่ยง เขารับชามราเม็งมาพลางถามกลับ “แกไม่ได้ลองใช้เรอะ”
“ก็ลองแล้วไม่เห็นอะไรเลยน่ะซี่~ ถึงได้สงสัยว่าเซ็นคูจังส่องอะไรบนท้องฟ้าได้ตั้งนาน หรือจริง ๆ แล้วฉันแค่ใช้ไม่เป็นเหรอ”
เซ็นคูหัวเราะในลำคอเสียงหนึ่ง “ก็ลองดูดิ”
เขาขยับออกจากหน้าเลนส์แล้วหันมาจัดการกับอาหารในมือ อีกฝ่ายเลิกคิ้วมองเขาด้วยสีหน้าสงสัยแล้วขยับเข้ามาส่องดู
“นะ นี่มัน…!” เก็นเขม่นตามอง “อะไรอะ”
“คิดว่าเป็นอะไรล่ะ”
“เอ๋~ อืม…ยานของเอเลี่ยน?”
“เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เป็นบ้า” เซ็นคูกลอกตากับคำตอบที่ไม่แม้แต่จะพยายามเดา “ดาวเสาร์เฟ้ย เห็นวงแหวนก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เรอะ”
“ไม่ๆๆ ดูไม่เห็นออกเลยว่ามีวงแหวนน่ะ เห็นเป็นแค่ก้อนจาง ๆ รูปร่างพิลึกเอง”
“กล้องโทรทรรศน์ยุคแรกก็ประมาณนี้แหละ ตาลุงกาลิเลโอที่สังเกตเห็นวงแหวนของดาวเสาร์เป็นคนแรกน่ะยังคิดว่าเป็นดาวบริวารด้วยซ้ำไป”
“เห—” เก็นหรี่ตามองเข้าไปในกล้องอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะพรืด “นี่เรียกว่าใช้การไม่ได้ในฐานะกล้องดูดาวจริง ๆ แหละเนอะ ขอโทษนะ เซ็นคูจังคงต้องปรับแก้เอาเองแล้วล่ะ~”
เซ็นคูสูดเส้นราเม็งเข้าปาก เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย
เดิมทีเจ้าของขวัญชิ้นนี้ จุดประสงค์หลักก็คงไม่ใช่เพื่อใช้ดูดาวอยู่แล้ว
มันคือ ‘หลักฐาน’ ที่เป็นรูปธรรมต่างหาก หลักฐานที่บ่งบอกว่าเซ็นคู เก็น และคนในหมู่บ้านอิชิกามิเป็นพวกเดียวกันอย่างแท้จริงแล้ว
ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะนึกระแวงว่าเก็นจะหักหลัง หากคิดตามตรรกะแล้วถือว่ามีความเป็นไปได้ต่ำมาก นักอ่านใจถูกเปิดโปงไปแล้วว่าเป็นคนทรยศ ต่อให้จะพลิกลิ้นขายเซ็นคูให้สึคาสะและได้รับอนุญาตให้กลับไปเป็นพวกเดียวกันได้จริง แต่คนอย่างเฮียวงะคงไม่เก็บมนุษย์ค้างคาวที่เคยเล่นตุกติกกับตนเองไว้แน่ และเก็นก็ฉลาดพอที่จะคาดการณ์เรื่องนั้นไว้แล้ว
เพียงแต่ เขาย่อมคำนวณความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดไว้ในใจเสมอ
สิ่งที่เก็นทำในวันนี้คือการขุดเอามโนภาพที่เก็บซ่อนเอาไว้นั้นขึ้นมาปั้นเป็นรูปเป็นร่าง แล้วทุบมันทิ้งให้เขาเห็นกับตา ราวกับจะบอกว่า ‘ดูสิ ต่อให้มีโอกาส พวกเราก็ไม่หักหลังนายใช่มั้ยล่ะ’
ความเป็นไปได้ที่ว่า มัน เป็นไปได้ จริงหรือ
หลายเดือนที่อยู่ร่วมกับหมู่บ้านอิชิกามิ เคยมีสักครั้งหรือที่เขาเห็นสัญญาณเตือนของการเปลี่ยนฝั่ง บางที มันอาจเป็นแค่สมมติฐานเลื่อนลอยที่ไม่มีข้อมูลอ้างอิง ตาชั่งที่เคยคิดว่าเป็นกลางอาจถูกความกลัวและกลไกปกป้องตนเองถ่วงให้เอียงข้าง ตลอดมาเขาใช้สมมติฐานในการคำนวณ แทนที่จะใช้ข้อมูลที่ประจักษ์ด้วยตนเอง
คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์กลับพลาดเรื่องพื้นฐานแบบนี้ น่าขายหน้าชะมัด
เซ็นคูวางชามราเม็งที่ว่างเปล่าลงแล้วเอานิ้วก้อยแหย่หู
“...ปล่อยไว้แบบนี้ล่ะ ใช้งานเป็นกล้องส่องทางไกลได้ก็พอแล้วไม่ใช่เรอะ”
ในสถานการณ์ที่ต้องเร่งมือทำโทรศัพท์ก่อนหมู่บ้านจะถูกบุกโจมตีย่อมไม่มีเวลามาปรับแต่งกล้องดูดาวเล่น และถึงยังไง—เขาก็มองเห็นดวงดาวได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ยุคหินนี่อยู่แล้ว
เก็นผละสายตาจากเลนส์กล้อง
“เพราะ ‘สงครามกำลังจะเริ่ม ไม่มีเวลาแล้ว’ น่ะเหรอ”
“ยังมีเหตุผลอื่นอีกรึไง”
ดวงตาสีฟ้าเทาพินิจมองเขาราวกับจะมองทะลุเข้าไปภายในความคิด เซ็นคูไม่รู้ว่านักอ่านใจกำลังมองหาอะไร เขารู้แต่เพียงว่าหากหลบตาจะยิ่งถูกอ่านออกได้ทันที จึงจงใจจ้องตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองหาอะไรบางอย่างเจออยู่ดี ริมฝีปากของเก็นคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
“คนโกหก”
น้ำเสียงหยอกล้อนั้นฟังดูนุ่มนวลกว่าทุกครั้ง แสงจันทร์ตกกระทบบนเรือนผมสีขาวจนราวกับเรืองแสงออกมา นัยน์ตาสีเข้มทอประกายระยิบระยับเหมือนกับท้องฟ้าในเวลานี้
เสี้ยววินาทีนั้น เซ็นคูรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอกที่ไม่เคยรู้จัก
ตึกตัก
แต่สิ่งแปลกปลอมนั้นโผล่หน้ามาเพียงแวบเดียว พอนึกสงสัยว่ามันคืออะไรก็หลุดมือหายไปเสียแล้ว หรือไม่แน่—อาจเป็นตัวเซ็นคูเองที่ปล่อยมันไป
เขาแค่นเสียงหัวเราะ “แกว่าฉันได้เรอะ”
แน่นอนว่าเก็นย่อมสังเกตได้ว่านั่นไม่ใช่คำปฏิเสธ เขาไม่เอ่ยทักท้วง เพียงหัวเราะเสียงระรื่นแล้วปล่อยหัวข้อนั้นทิ้งไป
“นั่นมันทักษะหากินของชั้นนี่นา จะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันนะ”
“เออ ฉันเทียบแกไม่ติดหรอก เจ้านักมายากลต้มตุ๋น”
“โหดร้าย~”
บทสนทนาไร้แก่นสารจบลง ความเงียบยิ่งขับเน้นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาในตอนนี้ผิดเพี้ยนไปจากทุกครั้ง ไม่ถึงกับเป็นความอึดอัดกระอักกระอ่วน แต่เป็นระยะห่างที่เคลื่อนไปเล็กน้อย ใกล้ขึ้น–แต่พร่ามัว ระยะที่ยังไม่ใช่ความยาวโฟกัส เสียงหัวเราะเฮฮาของชาวบ้านในลานกว้างราวกับดังมาจากที่ห่างไกลต่างมิติเวลา
เสียงพึมพำของเก็นแทรกสอดเข้าไปในคลื่นเสียงพื้นหลังเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา
“...แต่เรื่องที่พูดเมื่อคืน ไม่ได้โกหกหรอกนะ”
ดวงตาสีแดงหันขวับไปมองคนด้านข้าง แต่อีกฝ่ายไม่ได้หันมา ใบหน้าด้านข้างนั้นถูกบดบังด้วยปอยผมด้านที่ยาวกว่าจนมองไม่เห็นสีหน้า นิ้วของเขากระตุก ริมฝีปากเผยอออก
แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยคำพูดใดออกไป เสียงตะโกนจากด้านล่างก็ดังทะลุขึ้นมา ทำเอาพวกเขาสะดุ้งโหยง
“เซ็นคู—!!! ฉันเห็นนะว่านายไม่ได้หลับ!”
“ถ้าไม่นอนก็ลงมาฉลองด้วยกันสิฟะ!”
เสียงของโคฮาคุและโครมนำมา ตามด้วยชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ร้องรับสนับสนุนเป็นปี่เป็นขลุ่ย แค่ฟังก็รู้ว่าถูกพิษแอลกอฮอล์เล่นงานจนสติเหลือไม่ถึงครึ่งกันแล้ว
เก็นผ่อนไหล่ลง เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถูกตามตัวแล้วแน่ะ คุณหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ให้ตายสิ เจ้าพวกนั้นเมากันเกินไปแล้วมั้ง”
แม้ปากจะบ่นแต่เซ็นคูก็ลุกขึ้น กดความรู้สึกไร้เหตุผลที่ยังอยากอยู่ตรงนี้ต่อเงียบ ๆ อีกสักพักลงไป ถึงอย่างไรอารมณ์อ่อนไหวจำพวกนั้นก็ไม่ใช่สไตล์ของเขา และดูท่าแล้วถ้าไม่ลงไปคงจะโหวกเหวกกันไม่เลิก
ในจังหวะนั้นเองที่ไหล่ถูกสะกิด เมื่อหันไปมองก็พบกับรอยยิ้มมีเลศนัยของนักอ่านใจ
“เซอร์วิสพิเศษสำหรับเจ้าของวันเกิด~ เดี๋ยวซื้อเวลาให้แป๊บนึงก็แล้วกัน”
“หา?”
เก็นเดินไปยังบันไดไม้ไผ่อย่างอารมณ์ดี หันมาทางเขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขยิบตา
“ถึงเจ้ากล้องนั่นจะใช้ดูดาวไม่ได้ แต่ก็ทำให้เห็นความทรงจำที่ ‘น่าคลื่นไส้’ ได้นิดหน่อยใช่มั้ยล่ะ~”
เจ้าตัวไม่รอปฏิกิริยาตอบสนองของคนฟัง พริบตาเดียวก็ไปโผล่ที่ลานด้านล่าง ใช้คำพูดไม่กี่คำก็กลายเป็นจุดสนใจของวงเหล้าอย่างรวดเร็ว
เซ็นคูมองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งพลางขยี้ผมของตนเอง
นักอ่านใจนี่น่ารำคาญชะมัด
ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าคำว่า ‘น่ารำคาญ’ นี้ก็เหมือนคำว่า ‘น่าคลื่นไส้’ ที่ถูกนำมาล้อเลียนเมื่อครู่ มันไม่ได้มีความหมายตรงตามตัวอักษร
เขาไม่เคยเจอใครที่เข้าใจเขาเท่ากับเก็นมาก่อน
ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะขาดอะไร เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ได้รับความเชื่อใจหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์จากเบียคุยะกับไทจุมาเกินพอจนล้นอยู่แล้ว เจ้าพวกทึ่มนั่นเป็นประเภทที่ต่อให้ไม่เข้าใจก็พร้อมสนับสนุนไม่ลืมหูลืมตา
แต่กับเก็นนั้นต่างออกไป ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน แต่กลับเข้าใจไปถึงจุดที่เขาไม่เคยยอมปล่อยให้คนอื่นเห็นด้วยซ้ำ ไม่เป็นตรรกะเอาเสียเลย
และที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่า คือการที่เขาไม่ได้รู้สึกแย่กับเรื่องนี้
ทั้งที่ปกติเขาควรจะต่อต้าน แต่กลับไม่มีเลย ราวกับมันเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว เหมือนมีคนบุกรุกเข้ามาในห้องลับที่บ้านแล้วยังนั่งรินชาสบายใจเฉิบ แต่แทนที่เขาจะไล่ตะเพิดออกไป กลับไปนั่งดื่มชากับอีกฝ่ายเสียอีก
เอาเถอะ คงเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาบางอย่างของเจ้านักอ่านใจนั่นแหละ
เซ็นคูถอนหายใจ ตัดบทความคิดของตัวเอง เดิมทีปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่เสียเวลาคิดเรื่องอารมณ์ความรู้สึกอะไรเทือกนั้นมากขนาดนี้ คงต้องโทษคนบางคนที่สร้างบรรยากาศชวนซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหลขึ้นมา
บางทีเขาคงรู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณบางอย่าง ก็เลยรู้สึกคาใจแปลก ๆ แบบนี้
เขามองเงาร่างของคนที่พูดจ้ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของชาวบ้านแวบหนึ่ง ดูเหมือนเวลาที่นักอ่านใจอุตส่าห์ออกตัวซื้อให้จะเสียเปล่า เพราะจู่ ๆ ความรู้สึกอยากอยู่ด้านบนต่อก็หายไปอย่างไม่รู้เหตุผล เซ็นคูลุกขึ้นเตรียมตัวลงไปด้านล่าง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อกินเลี้ยงฉลอง แต่ยังมีงานให้ทำก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น อย่างเช่นคัดแยกแร่ที่ขุดมา หรือเตรียมแล็บสำหรับจัดการทังสเตน
ไว้ค่อยหาเวลาใช้วิทยาศาสตร์สร้างอะไรสักอย่างให้หมอนั่นก็แล้วกัน
.
.
“นี่อะไรน่ะ”
เก็นเอียงคอมองขวดดินเผาใบเล็กบนโต๊ะแล็บ
“เปิดดูก็รู้” เซ็นคูตอบ ตายังจ้องสเกลของกระบอกตวงในมือ พลาสติกชิ้นแรกของโลกยุคหินยังขึ้นรูปไม่สำเร็จ เขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับโครมติดต่อกันมาทั้งวัน จนนักวิทยาศาสตร์อีกคนตาลายถึงขั้นอ่านสเกลผิด ๆ ถูก ๆ จึงถูกเขาไล่ออกไปพักสายตาข้างนอก ระหว่างนั้นเขาจึงสบโอกาสเรียกเก็นเข้ามาดู ‘ของตอบแทน’ ที่ทำขึ้นมาในช่วงที่รอพลาสติกขึ้นรูป
“เอ๋~ ไม่น่าไว้ใจแฮะ” เก็นทำหน้าแหยง แต่ก็เปิดฝาขวดตามที่เขาบอก “นี่มัน…ครีม?”
“ถ้าพูดให้ชัดก็คือครีมยูเรียล่ะนะ”
“อ๋อ~ อันที่เอาไว้ทามือทาเท้าตอนผิวแห้งใช่ม้า”
“ไอ้นั่นแหละ”
สิ่งเดียวที่นักอ่านใจเคยขอจากเขาก็คือโคล่า แต่จะทำโคล่าในฤดูหนาวก็ไม่เข้าท่าสักเท่าไร น้ำตกที่เคยใช้ทำกรดคาร์บอนิกก็กลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว เขาจึงทำของที่เหมาะกับฤดูกาลขึ้นมาแทน
ครีมยูเรียมีสรรพคุณในการรักษาผิวหนังแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้น และยังรักษาผื่นคันได้ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์มากในช่วงอากาศเย็นจัด
เซ็นคูอธิบายอย่างอารมณ์ดี
“ยูเรียน่ะสังเคราะห์ง่ายจะตายชัก ความจริงมันก็เป็นส่วนประกอบหลักของฉี่อยู่แล้ว แต่กระบวนการแยกมันยุ่งยากแถมยังโคตรเหม็น โชคดีที่เรายังมีแอมโมเนียที่เคยสกัดจากฉี่อยู่ แค่เอามาทำปฏิกิริยากับคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะได้แอมโมเนียมคาร์บาเมตที่จะสลายตัวกลายเป็นยูเรียกับน้ำ จากนั้นก็ระเหยเอาน้ำออกก็เรียบร้อย เด็กประถมก็ทำได้”
“เด็กประถมที่ว่าคงจะมีแต่เซ็นคูจังนั่นแหละนะ~ ว่าแต่ตอนต้นมีคำที่น่าติดใจโผล่มาด้วยไม่ใช่เหรอ…”
เก็นหรี่ตามองครีมในมือด้วยสายตาไม่วางใจ เซ็นคูเลิกคิ้ว
อ้อ หมอนี่ไม่อยู่ตอนใช้แอมโมเนียสังเคราะห์ยาซัลฟานี่นะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า มันผ่านกระบวนการมาเป็นหมื่นล้านขั้นตอนแล้ว ไม่มีเชื้อโรคแน่นอน เดิมทีตัวยูเรียเองก็ไม่มีกลิ่น”
“ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ปัญหามันอยู่ที่จิตใจน่ะสิ~”
เก็นดมขวดในมืออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะเบิกตากว้าง “กลิ่นนี้…ขิงนี่นา”
“ถูกต้อง เอาไปหมื่นล้านแต้ม ขิงเป็นสมุนไพรให้ความร้อน สกัดน้ำมันขิงออกมาด้วยวิธีกลั่นด้วยไอน้ำแล้วผสมลงในครีมยูเรีย ทาแล้วทำให้มือรู้สึกอุ่นขึ้นได้”
“เห ยอดเลย~ ว่าแต่…ทำไมล่ะ”
“หา? ก็เพราะอากาศหนาวน่ะสิฟะ”
“เปล่า ๆ ไม่ได้ถามว่าทำไมถึงใส่ขิง แต่ถามว่าทำไมจู่ ๆ ถึงเอามาให้ฉันต่างหาก”
เซ็นคูขมวดคิ้วแล้วหันไปมองหน้าอีกฝ่ายตรง ๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เก็นเข้ามาในห้อง เขาหลุบตาลงมองมือที่แห้งจนปลายนิ้วลอกเป็นขุยของคนที่กำลังทำถ่านแมงกานีส 800 ก้อน แล้วเหลือบตาขึ้นมองหน้าของเจ้าตัวอีกรอบ
ยังต้องถามอีกเรอะ
เก็นเอียงคออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือพลางร้องอ้อ
เข้าใจแล้วสินะ
เขาผ่อนไหล่ลงแล้วหันกลับมาสนใจสารเคมีตรงหน้า ยังดีที่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดอะไรน่าขนลุก เจ้านักอ่านใจน่าจะเข้าใจเรื่องแค่นี้ได้ไม่ยากอยู่แล้ว—
“จะให้เอาไปแจกเด็ก ๆ สินะ ก็พันลวดทองคำกันจนนิ้วแดงหมดแล้วนี่นา~”
“หา?”
“สมกับเป็นเซ็นคูจัง สังเกตเห็นด้วยสินะ” คนช่างจ้อยิ้มระรื่น ไม่เว้นช่วงให้พูดแทรก “ถ้าสุขภาพมือของทุกคนแข็งแรง ประสิทธิภาพในการทำงานก็เพิ่มขึ้นด้วยนี่นา”
“นั่นก็ถูก แต่—”
“งั้นฉันเอาไปให้ทุกคนล่ะนะ~ อ๊ะ อย่าพูดถึงเรื่องที่มาของยูเรียจะดีกว่า จริง ๆ นะ”
พูดจบเจ้าตัวก็แวบหายไปจากห้องแล็บอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เซ็นคูยืนอึ้งอยู่ลำพัง ผ่านไปสักพักจึงเลิกม่านเดินตามออกมาที่ลานกว้าง
เขาไม่จำเป็นต้องมองหาสักนิด เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็กน้อยบ่งชี้ที่อยู่ของเป้าหมายได้ชัดเจน
“อันนี้คืออะไรเหรอ”
“อันนี้เรียกว่าครีม เซ็นคูจังทำขึ้นมาล่ะ ทามือแล้วจะไม่แสบแล้วก็อุ่นขึ้นด้วยน้า~”
เก็นป้ายครีมบนมือของเด็ก 2-3 คนใกล้ตัวแล้วถูครีมบนมือตัวเองเป็นการสาธิต เจ้าพวกตัวเปี๊ยกมองแล้วทำตาม
“อุ่นขึ้นจริงด้วย!”
“ตรงที่แดง ๆ ก็ไม่เจ็บแล้ว ยอดเลย~”
“หนูขอลองด้วยสิ!”
เซ็นคูมองความวุ่นวายตรงหน้าแล้วเกาศีรษะอย่างจนใจ
เอาเถอะ วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี ที่เก็นพูดก็ไม่ผิด ประสิทธิภาพการทำงานของทุกคนก็คงจะเพิ่มขึ้นด้วย และเดิมทีเจ้าหอดูดาวนั่นก็เป็นผลงานของชาวบ้านทุกคน การที่เขาคิดจะให้ของตอบแทนเฉพาะกับหมอนั่นต่างหากที่แปลก ถึงจะเห็นได้ชัดว่าใครเป็นคนต้นคิดก็เถอะ
เขายืนมองภาพตรงหน้าครู่หนึ่ง ขวดดินเผาถูกส่งไปมาให้วุ่น สุซุหันซ้ายขวาไปมาแต่ก็ตามไม่ทันเสียที เก็นสังเกตเห็นจึงคว้ากลับมาแล้วย่อเข่าทาครีมบนมือของเด็กหญิง
มุมปากของเขาพลันยกขึ้นอย่างไร้เหตุผล ก่อนจะเดินเข้าไปในวงความวุ่นวายนั้น
ให้ตาย แบบนี้ก็ต้องทำครีมเพิ่มอีกหลายสิบเท่าเลยไม่ใช่รึไง
“เฮ้ พวกเจ้าเปี๊ยก ทาครีมแล้วอย่าเพิ่งเอามือไปขยี้ตาล่ะ รอให้มันซึมเข้าผิวก่อน”
ทั้งความหมายของรอยยิ้มนั้น และความหมายของจังหวะหัวใจที่ผิดเพี้ยนไปในคืนก่อนหน้า คำใบ้ที่ได้รับต่างถูกกลบฝังไว้ใต้หิมะและสนามรบที่ใกล้เข้ามา
รอวันที่จะถูกค้นพบอีกครั้ง
.
.
และแล้วเวลาหลายเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วปานติดปีก เหตุการณ์มากมายถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งหมู่บ้านอิชิกามิได้ควบรวมกับจักรวรรดิสึคาสะได้สำเร็จ และได้กัปตันคนใหม่เข้ามาเป็นพวก แม้การเควสต์ใหญ่อย่างการสร้างเรือจะยังเหลืออีกหลายด่านให้เคลียร์ แต่ก็ถือว่าพอมีเวลาให้ได้พักหายใจบ้าง
อย่างน้อยก็มีเวลาพอที่จะจัดงานวันเกิดให้เด็กหญิงตัวจิ๋วผู้เป็นหนึ่งในกำลังหลักของทีม
5740.09.09
“ซุยกะ สุขสันต์วันเกิด!”
หลังจากคำกล่าวนำของโคฮาคุ ทุกคนรอบกองไฟก็พากันปรบมือและพูดอวยพร เจ้าของวันเกิดตื้นตันจนน้ำตาร่วง สะอึกสะอื้นพูดขอบคุณไม่เป็นภาษา
“ท่านซุยกะ นี่เป็นของขวัญจากฉันกับท่านโคฮาคุ หวังว่าจะถูกปาก”
ฟรองซัวร์เดินเข้ามาตรงหน้าซุยกะ บนถาดในมือคือเค้กขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยเบอรี่ป่า—-ไวด์เบอรี่ช็อตเค้ก
ของหวานของโลกเก่าของแท้ที่กระตุ้นโดปามีนได้ถึงขีดสุด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าเด็ก ๆ ยุคหินที่ได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกเป็นอย่างไร แม้แต่เซ็นคูที่ไม่ได้ชื่นชอบของหวานมากนักยังอดไม่ได้ที่จะประทับใจในรสชาติที่ห่างหายไปหลายพันปี
“เอาล่ะ~ ต่อไปเป็นการแสดงพิเศษจากอาซากิริ เก็น!”
มายากลของนักอ่านใจเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมตัวน้อยได้อีกระลอก เซ็นคูมองตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่วางตา เค้กรสเลิศถูกทอดทิ้งไว้ในจาน เขาพอจะเดาทริคเบื้องหลังที่นักมายากลใช้ได้ แม้สายตาจะไม่ไวพอที่จะตามมือและนิ้วอันคล่องแคล่วนั้นได้ทันก็ตาม
ยังไม่นับว่าดวงตาของเขามักจะถูกดึงดูดไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายมากกว่ามือ
รอยยิ้มบนใบหน้านั้นดูต่างออกไปจากรอยยิ้มการค้าที่นักมายากลมักจะปั้นแต่งขึ้นมา เขาสังเกตตั้งแต่ตอนที่เก็นเข้ามารวมกลุ่มกับหมู่บ้านอิชิกามิได้สักพัก มันเป็นสีหน้าที่จะแสดงออกมาเฉพาะตอนเจ้าตัวแสดงมายากลให้เด็ก ๆ ดู ถึงจะไม่รู้ว่าสังเกตเรื่องพรรค์นี้ไปแล้วมีประโยชน์อะไรก็ตาม
พอรู้สึกตัวอีกที การแสดงก็จบลง เจ้าตัวเดินยื่มระรื่นถือจานเค้กของตัวเองมานั่งข้าง ๆ เขา
“งานวันนี้ แกเป็นคนต้นคิดใช่มะ”
“เอ๋ พูดเรื่องอะไรกันน้า~”
เซ็นคูกลอกตาใส่ท่าทางแอ๊บแบ๊วของอีกฝ่ายที่ไม่น่าเชื่อถือสักมิลเดียว
ถึงเบื้องหน้าจะมีโคฮาคุเป็นแม่งาน และแน่นอนว่าเจ้าตัวก็คงอยากฉลองให้ซุยกะสุดที่รักจากใจจริง แต่เดิมทีหมู่บ้านอิชิกามิไม่มีธรรมเนียมการเฉลิมฉลองวันเกิด ต่อให้วันเกิดของเซ็นคูครั้งที่ผ่านมาจะทำให้เกิดความคิดอยากจัดงานเลี้ยง ก็ไม่มีทางเลยที่โคฮาคุจะรู้จัก ‘เค้ก’ และฟรองซัวร์ก็ไม่เคยเสนอตัวทำงานให้คนอื่นนอกจากริวซุย
ทางเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ เก็นไปเป่าหูโคฮาคุให้คิดอยากจัดงานวันเกิดแบบยุคเก่าให้ซุยกะ และชี้ทางให้ไปขอความช่วยเหลือจากฟรองซัวร์
เก็นหัวเราะ
“โดนจับได้ซะแล้ว~ ก็แหม ฉันอยากกินเค้กนี่นา ถ้าฉันเป็นคนไปขอล่ะก็คงถูกริวซุยจังรีดไถแหง แต่ถ้าเพื่อวันเกิดของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แล้วละก็ ฟรองซัวร์จังคงยอมทำให้ฟรี ๆ ใช่ม้า”
“เหอะ แผนชั่วสมกับเป็นแก”
ก็ฟังดูสมเหตุสมผลและเป็นไปได้อยู่หรอก ถ้าเมื่อกี้ไม่ได้มีเด็กคนนึงที่กินส่วนของตัวเองหมดเร็วจนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และคนตรงหน้าเพิ่งจะเล่นกลเสกเค้กขึ้นมาในจานของเด็กคนนั้น
สสารไม่มีทางเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่าเค้กนั่นมาจากไหน
เซ็นคูเหลือบมองเค้กที่ชิ้นเล็กผิดปกติในจานของอีกฝ่าย แล้วโยนเค้กที่เหลือกว่าครึ่งชิ้นในจานตัวเองลงไป
“งั้นแกก็รับผิดชอบไอ้นี่ด้วยแล้วกัน”
“เอ๋ เซ็นคูจังไม่กินแล้วเหรอ”
เขาเอื้อมมือไปหยิบเนื้อเสียบไม้มากินแทน “หวาน กินทั้งชิ้นก็เลี่ยนตายพอดี”
“เห…ไม่ชอบของหวานนี่เอง” เก็นพึมพำ “งั้นก็ขอรับไว้ละกัน แต๊งกิ้ว~”
ดวงตาสีแดงเหลือบมองคนที่เคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างมีความสุข พอนึกย้อนดูถึงตอนที่ทำสายไหมก็กินด้วยท่าทางดีใจเหมือนกัน นอกจากโคล่าแล้วยังติดน้ำตาลด้วยหรือไง
แต่สาเหตุที่วันนี้อีกฝ่ายดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด คงไม่ใช่แค่เพราะได้กินของหวาน เพราะสีหน้าผ่อนคลายในขณะที่ทอดมองงานเลี้ยงฉลองเล็ก ๆ ตรงหน้านี้เหมือนกับตอนที่แสดงมายากลให้เด็กน้อยดูไม่มีผิด
เป็นอีกครั้งที่นักอ่านใจให้ความสำคัญกับ ‘วันเกิด’ ของคนอื่น
เมื่อตอนต้นปีก็เหมือนกัน พอมาคิดดูแล้วก็ไม่จำเป็นเลยที่จะลำบากคำนวณวันเกิดของเซ็นคู แค่อาศัยวาทศิลป์ของเจ้าตัวพูดมั่วซั่วไปก็ได้ว่าเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสขึ้นเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอะไรเถือกนั้น แต่เก็นก็ยังอุตส่าห์ออกอุบายใช้คำถามชี้นำและคิดคำนวณวันเกิดของเขาออกมาในโลกที่ไม่มีเครื่องคิดเลข
วันเกิดเป็นแค่เป็นหมุดหมายในการนับอายุ
ถ้าจะมีอะไรมาทำให้พิเศษ ก็คงเป็นใครสักคนที่ให้ความสำคัญกับมัน
จะว่าไป เขาก็รู้จักเก็นมาครบปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายปริปากพูดถึงวันเกิดของตัวเองเลยสักครั้ง ทั้งที่ดูเหมือนคนประเภทที่จะประกาศวันเกิดของตัวเองให้ทุกคนรู้และเอ่ยปากขอของขวัญอย่างไร้ยางอายแท้ ๆ
แต่ก็เพราะอยู่ด้วยกันมาพักใหญ่แล้วนี่แหละ ที่ทำให้รู้อีกเหมือนกันว่าลึก ๆ แล้วเก็นไม่ได้เหมือนกับภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวจงใจสร้างขึ้นมาสักเท่าไร
เขาเอ่ยถามออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
“แล้ววันเกิดของแกล่ะ”
แต่ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับผิดคาด
เก็นชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะฉีกยิ้ม
“เอ๋~~~ ทำไมเหรอ หรือว่าเซ็นคูจังก็อยากฉลองให้ฉัน เขินเลยนะเนี่ย~”
มันเป็นรอยยิ้มและน้ำเสียงที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เขานึกถึงช่วงแรกที่เจออีกฝ่าย เจ้าตัวเองก็คงจะตระหนักได้เช่นกัน จึงเผยสีหน้าปะหลักปะเหลื่อออกมา
ปฏิกิริยาแบบนั้นมันอะไรฟะ
ทั้งที่ชอบฉลองให้คนอื่น แต่กลับไม่อยากพูดถึงวันเกิดของตัวเองเนี่ยนะ
เซ็นคูจินตนาการไม่ออกเลยสักนิดว่าทำไมเก็นถึงเลี่ยงที่จะตอบ เพียงแค่รู้สึกไม่ชอบใจที่สีหน้าผ่อนคลายเมื่อครู่ของอีกฝ่ายหายไปและถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศกระอักกระอ่วน เขาจึงเอ่ยตัดบท
“ถ้าไม่อยากบอกก็ตามใจเหอะ”
วันเกิดก็เป็นแค่วันเกิด เป็นข้อมูลที่รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ส่วนหนึ่งของสมองเขากลับเริ่มค้นหาวิธีอื่นในการหาคำตอบโดยไม่รู้ตัว
…อาจยังพอมีวิธี
ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่อาซากิริ เก็น เป็นคนดังที่ได้ออกนิตยสารกับรายการโทรทัศน์บ่อยครั้ง ต้องเคยให้สัมภาษณ์เรื่องทั่วไปอย่างวันเกิดอยู่แล้ว ในบรรดาคนยุคเก่าที่ถูกปลุกขึ้นมาคงจะมีสักคนที่จำได้ ถึงแม้เซ็นคูที่เป็นคนจาก 3700 ปีก่อนเหมือนกันจะไม่เคยสนใจเรื่องประวัติส่วนตัวของพวกดาราเซเลปก็ตาม
ไม่สิ
‘เคย’ ไม่สนใจต่างหาก
สาเหตุที่มันเปลี่ยนไปนั้น เขายังไม่รู้ เพียงแต่จวบจนกระทั่งงานฉลองวันเกิดของซุยกะจบลงไปเป็นสัปดาห์ ทุกครั้งที่นึกอยากปัดช่องว่างของข้อมูลนี้ออกไปจากความคิด สีหน้าของเก็นในตอนนั้นกลับเกาะแน่นสลัดไม่หลุด
จนสุดท้ายเขาก็ยอมยกธงขาว
ถาม ๆ ไปซะจะได้จบเรื่อง
คนแรกที่เขาเลือกย่อมเป็นแหล่งข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาคนยุคเก่า—นักข่าว เซ็นคูถือโอกาสเอ่ยปากถามตอนที่เจ้าตัวเข้ามาในห้องแล็บเพื่อล้างรูป
มินามิเลิกคิ้วสูง
“วันเกิดของเก็น? นายจะถามไปทำไม”
“…จะไปรู้เรอะ”
คำสบถในลำคอที่ตามมากับเสียงเดาะลิ้นทำให้หญิงสาวฟังไม่ได้ศัพท์ “ฮะ?”
“ก็แค่สงสัยขึ้นมา ทำไมเรอะ ข้อมูลแค่นี้ไม่รู้รึไง นักข่าว”
หล่อนชักสีหน้าบูดบึ้งทันทีที่ความภูมิใจในวิชาชีพถูกยั่วยุ
“ถึงจะเป็นฉันก็จำวันเกิดของคนเป็นร้อย ๆ ไม่ได้หรอกนะยะ! เอาเถอะ ถ้าวันเกิดของหมอนั่นล่ะก็พอจะรู้อยู่…มั้ง”
พอเขาถามว่าไอ้ ‘มั้ง’ ที่ต่อท้ายนั่นคืออะไร ก็ดูเหมือนว่าการใช้วันเกิดปลอมจะไม่ใช่เรื่องแปลกในวงการบันเทิง เหตุผลก็มีหลายอย่าง ทั้งต้องการความเป็นส่วนตัว จงใจปกปิดประวัติจริง หรือกระทั่งเหตุผลเหลือเชื่ออย่างป้องกันการถูกนำไปใช้ทำพิธีกรรมคุณไสย
“ถ้าอิงตามบทสัมภาษณ์ที่เคยเห็น วันเกิดของเก็นคือวันที่ 1 เมษา—เอพริลฟูลส์เดย์ไง ดูเป็นวันเกิดปลอมสุด ๆ เลยใช่มั้ยล่ะ”
นักมายากลต้มตุ๋นที่เกิดในวันแห่งการโกหก เข้ากันพอดิบพอดีเสียจนฟังดูไม่น่าเชื่อถือ และมินามิยังเล่าว่าเวลาถูกสงสัย เจ้าตัวก็ชอบทำเป็นเล่น จึงไม่แปลกที่จะถูกคิดว่าเป็นวันเกิดที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์
แต่นั่นกลับทำให้เซ็นคูมั่นใจ ว่าวันเมษาหน้าโง่ที่ว่านี่แหละคือวันเกิดที่แท้จริงของเก็น
เพราะถ้าเป็นวันเกิดที่ตั้งขึ้นมาเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง ตอนถูกเขาถามในคืนนั้นก็แค่ตอบทีเล่นทีจริงเหมือน 3700 ปีก่อนก็สิ้นเรื่อง แต่เจ้าตัวดันแสดงปฏิกิริยาประหลาดออกมา
เพราะกลัวจะถูกคิดว่าโกหก?
นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาพอจะคิดออก แต่ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด หมอนั่นเคยกลัวเรื่องพรรค์นั้นที่ไหนกัน
เซ็นคูถอนหายใจยาว
ไม่เข้าใจเฟ้ย
ถึงอย่างไรการคาดเดาความคิดของคนอื่นก็ไม่ใช่งานถนัดของนักวิทยาศาสตร์อย่างเขาอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดจะสนใจด้วยซ้ำ
แล้วทำไมครั้งนี้ ถึงอยากจะเข้าใจขึ้นมา
แม้แต่เหตุผลของการกระทำของตัวเอง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เซ็นคู! ล้างรูปเสร็จอีกชุดแล้วนะ”
—แล้วก็ไม่มีเวลาจะทำความเข้าใจด้วย
“เออ กองไว้ข้าง ๆ นั่นแหละ”
เขาเอ่ยตอบโครมพลางเขม่นตาเพ่งรูปถ่ายทางอากาศเบลอ ๆ ที่กองพะเนินอยู่ตรงหน้า พวกเขายังมีภารกิจสำคัญเร่งด่วนคือการตามหาแหล่งขุดเจาะน้ำมันดิบซางาระ ถ้าไม่มีน้ำมัน ความหวังที่จะเดินเรือไปยังอีกฟากโลกสำเร็จก็ริบหรี่
ยังมีเรื่องสำคัญให้คิดอีกเยอะ ไม่มีเวลามานั่งปวดหัวกับเรื่องอื่นเพิ่มเสียหน่อย
นั่นเป็นอีกครั้งที่เขาผลัดปริศนาคลุมเครือข้อนี้ออกไป ปฏิบัติกับมันเหมือนจุดดำบนสไลด์ที่เลื่อนผ่านไปในกล้องจุลทรรศน์ จัดลำดับมันให้เป็นเพียงหนึ่งในหลายสิบแท็บที่รันอยู่เบื้องหลังในเว็บบราวเซอร์ แต่เขายังไม่รู้ว่ามันจะหมุนวนกลับมาในอีกไม่นาน
และครั้งนี้ มันจะพุ่งมากระแทกใส่หน้าโดยไม่ถามความสมัครใจอีกต่อไป
.
.
“เอ้า เซ็นคู รายชื่อลูกเรือของฉัน!”
5740.12.14
“อ้อ”
เซ็นคูละสายตาจากแบบแปลนเรือที่กำลังแก้กับโครมและอุเคียว รับแผ่นกระดาษยาวเฟื้อยที่ริวซุยส่งให้
ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเขาเพิ่งจะตัดสินใจรื้อแปลนเรือที่กำลังสร้างอยู่ใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนวิธีการสร้างเรือมาใช้วิธีขยายชิ้นส่วนจากโมเดลขนาด 1:48 ตอนนี้อยู่ในช่วงแก้ไขแบบแปลนก่อนจะให้ริวซุยสร้างโมเดลของจริงขึ้นมา ระหว่างที่รอ กัปตันของราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์จึงไปรวบรวมรายชื่อของคนที่จะขึ้นเรือ
เขาไล่สายตาผ่านรายชื่ออย่างรวดเร็ว หลัก ๆ แล้วก็ตรงกับที่คิดเอาไว้ กลุ่มวิศวกร กลุ่มใช้แรงกาย กลุ่มความสามารถเฉพาะ ส่วนที่เหลือจะเป็นใครก็—
ดวงตาสีแดงหยุดนิ่งเมื่อไล่ลงมาถึงรายชื่อสุดท้าย
“เฮ้” เขาหันไปมองกัปตันที่กำลังยกชาขึ้นจิบ “แล้วหมอนั่นล่ะ”
“หืม ใครล่ะ”
เซ็นคูส่งสายตาไปยังที่ว่างในห้องประชุม เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็เข้าใจในทันที
“อ้อ เก็นเรอะ” ริวซุยเอนหลัง “แน่นอนว่าฉันก็อยากได้เจ้านั่น ทีมเดินทางรอบโลกต้องใช้ชีวิตอยู่กลางทะเลเป็นเวลานาน แถมยังมีแต่มือใหม่ ถ้ามีนักจิตวิทยาอยู่ด้วยก็คงช่วยเรื่องสภาพจิตใจได้มาก แถมยังมีเรื่องเจรจากับศัตรูที่อาจจะได้เจออีก แต่ทีมที่ปักหลักที่นี่ก็ต้องเสียผู้นำอย่างแกไป ถ้าไม่มีเก็นอยู่ก็เสี่ยงไม่น้อยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มดีดนิ้ว
“ฮะฮ่า! ชายที่ไม่ว่าฝ่ายไหนก็อยากได้ เซ็นคู ฉันอยากได้เทคโนโลยีโคลนนิ่ง!”
เซ็นคูแคะหูด้วยสีหน้าระอาใจกับคำพูดเหลวไหลของกัปตันเรือ
“จะบ้าเรอะ เทคโนโลยีที่นักวิทยาศาสตร์เมื่อ 3700 ปีก่อนยังทำไม่สำเร็จเนี่ยนะ จะมีเวลาทำการทดลองล้ำยุคพรรค์นั้นได้ไงฟะ”
“แปลว่าถ้ามีเวลาก็คิดจะทำเหรอ…”
อุเคียวที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างเหงื่อตก ในขณะที่โครมสงสัยไปคนละเรื่อง “โคะ…โคลนนิ่ง? มันคืออะไรอะ”
“นั่นสินะ” ริวซุยยกชาขึ้นจิบด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “อย่างที่ว่า เก็นมีหน้าที่สำคัญสำหรับทั้งสองทีม ฉันก็เลยไปถามกับเจ้าตัวว่าจะเอายังไง คำตอบก็อย่างที่เห็นในมือแกนั่นแหละ”
มือที่ถือแผ่นรายชื่อกำแน่นขึ้นเล็กน้อย
—ไม่มี
ไม่มีชื่อของเก็นในกระดาษแผ่นนี้
หมายความว่าหมอนั่นปฏิเสธที่จะขึ้นเรือ
“จริงสินะ จำนวนคนที่ไม่ขึ้นเรือคงจะเยอะกว่าด้วย ถ้ามีคนนึกอยากฉวยโอกาสตอนทีมต่อสู้ไม่อยู่คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ยิ่งถ้าเฮียวงะกับโฮมุระหลุดออกมาได้ละก็–เก็นคงคำนึงถึงจุดนี้ก็เลยเลือกอยู่ที่นี่ละมั้ง” อุเคียวก้มหน้าครุ่นคิด “ถึงในฐานะลูกเรือแล้ว ถ้ามีนักอ่านใจอยู่ด้วยคงจะอุ่นใจกว่าก็เถอะ…แต่ก็ช่วยไม่ได้เนอะ”
ริวซุยเลิกคิ้วมองเซ็นคูที่ยังคงนิ่งเงียบ ยกมุมปากขึ้น
“ทำไม แกก็อยากให้เก็นไปด้วยเรอะ”
“หา?” เซ็นคูย่นจมูก “ไม่ใช่ว่าฉันอยากให้ไป แต่—”
แต่?
เขาชะงัก ดวงตาค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น
ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าอยากหรือไม่อยากให้เก็นขึ้นเรือ—แต่เขาไม่ได้คิดเลยต่างหากว่าอีกฝ่ายจะไม่ไป
ในสมองของเขา ไม่เคยมีความเป็นไปได้อันแสนธรรมดานั้นปรากฏเลยสักครั้ง
ความจริงที่เพิ่งตระหนักได้ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมา
เซ็นคูได้แต่นิ่งอึ้ง เสียงของอีกสามคนรอบข้างกลายเป็นแบ็คกราวน์นอยซ์ที่ไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป
“ไปบอกกับเจ้าตัวซะก็สิ้นเรื่อง ‘ฉันอยากได้แก ไปกับฉันเถอะ!’”
“วิธีการพูดมันออกจะ…แต่แบบนั้นก็อาจจะดีก็ได้นะ”
“เฮ้ เซ็นคู ตกลงโคลนนิ่งคืออะไรฟะ!?”
แม้จนกระทั่งกลับไปทำงานต่อที่ห้องแล็บ สมองของเซ็นคูก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้
ถ้าคิดตามตรรกะแล้ว เก็นเป็นบุคลากรที่มีประโยชน์สำหรับทั้งทีมเดินทางรอบโลกและทีมพัฒนามนุษยชาติ หมอนั่นไม่ชอบเสี่ยงอันตรายและไม่ชอบงานหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมออกเรือต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้งคู่ ไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเลือกทางที่ปลอดภัยกว่าอย่างการอยู่ที่นี่ต่อ
ทั้งอย่างนั้น ทำไมเซ็นคูถึงคิดไปเองก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายจะขึ้นเรือ
หรือถ้าจะพูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ ทำไมถึงคิดว่าเก็นจะอยู่กับเขา
มันทำให้เขานึกถึงการตัดสินใจของไทจุที่เลือกชุบชีวิตยุสึริฮะเป็นคนแรกหลังจากทำน้ำยาได้สำเร็จ มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับใครทั้งนั้น ไม่ใช่ทั้งการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง อีกฝ่ายหรือมนุษยชาติ
ความเอาแต่ใจจากจิตใต้สำนักที่ไร้ตรรกะนั่น
หรือว่าในตอนที่เขาไม่ทันรู้ตัว บางส่วนของสมองจะทำงานน้อยลงเสียแล้ว
“พรีฟรอนทัลคอนเท็กซ์...เรอะ”
“พรีฟรอ—มันคืออะไรเหรอ เซ็นคูจัง”
“เหวอออออ!!!” เขาสะดุ้งตัวโยนเมื่อจู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงโผล่มาตัวเป็น ๆ จากด้านข้าง “แก อย่าโผล่มาเงียบ ๆ สิฟะ!”
อีกฝ่ายเองก็ตกใจเสียงตะโกนแหกปากของเขา เก็นอ้าปากหวอ “ก็เรียกตั้งหลายครั้งแต่เซ็นคูจังไม่ตอบนี่นา อะไรกัน~ ตั้งใจคิดอะไรอยู่จนถึงกับไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลยเหรอ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
เซ็นคูขยี้ผม พยายามดึงสติของตัวเองกลับมา
“เปล่า แค่กำลังโฟกัสเรื่องอื่นอยู่ ว่าแต่แกมีอะไร”
นักอ่านใจทำสีหน้าแคลงใจเล็กน้อย แต่โชคดีที่ดูเหมือนจะตัดสินใจปล่อยผ่านไปโฟกัสกับคำถามของเขา
“จะมาปรึกษาเรื่องวันคริสต์มาสน่ะสิ ปีนี้จะเอาไงดี”
“หา? ต้องทำอะไรด้วยเรอะ”
“ต้องสิ~! ได้ข่าวมาว่าภัตตาคารฟรองซัวร์จะจัดอีเว้นต์ช่วงคริสต์มาสด้วยนะ ขืนไม่ทำอะไรเงินก็ไหลเทไปทางฝั่งโน้นกันพอดี เดี๋ยวจะไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำมันเอานะ~”
“อ้อ”
ที่แท้ก็เรื่องเงินทุน เรื่องนี้ก็ชวนปวดหัวไม่ใช่เล่น ตั้งแต่ปลุกฟรองซัวร์ขึ้นมา สถานการณ์การสะสมค่าน้ำมันก็ย่ำแย่ลง อาหารของภัตตาคารฝ่ายนั้นนำหน้าราเม็งกับสายไหมของอาณาจักรวิทยาศาสตร์ในด้านรสชาติแบบไม่เห็นฝุ่น แม้จะขายได้ไม่มากเพราะราคาสูง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของพวกเขาไม่น้อย
เซ็นคูขมวดคิ้วครุ่นคิด แสร้งเมินเฉยต่อความโล่งใจลึก ๆ ที่ได้ถือโอกาสผลัดปัญหาอื่นออกจากสมอง ก่อนจะสังเกตได้ว่าเก็นไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่ปากพูด
กลับกัน สีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของอีกฝ่ายทำให้มุมปากของเขายกขึ้นข้างหนึ่ง
“ทำเป็นพูดงั้นงี้ แกมีแผนอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ นักอ่านใจ”
“ปิ๊งป่อง~” เก็นแสยะยิ้มออกมา “แผนที่จะช่วยให้เรากอบโกยดราโก้ในอีเว้นต์สำคัญอย่างคริสต์มาส—งาน ‘สอยดาว’ ที่แสนจะน่าตื่นเต้นไงล่ะ”
ได้ยินเพียงเท่านั้น เขาก็เห็นภาพรวมของแผนการของอีกฝ่ายทันที เสียงหัวเราะชั่วร้ายหลุดออกจากลำคอ
“จับฉลากงั้นสิ เล่นเอากลยุทธ์การตลาดที่ชั่วช้าที่สุดของทุนนิยมมาเลยนี่หว่า”
มันก็คือการพนันขนาดย่อมดี ๆ นี่เอง มนุษย์อ่อนไหวต่อการเสี่ยงดวงตามหลักชีววิทยาของสมอง โดปามีนที่เกิดขึ้นจากการถูกรางวัลจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบการให้รางวัล และเมื่อขาดไปก็จะตามหาสิ่งเร้าที่จดจำเอาไว้—หลักการเดียวกับการเสพติด
ไม่ว่าจะคุจิ กาชา กล่องสุ่ม หรือพวกถุงโชคดีก็อาศัยหลักการนี้จนเติบโตเป็นที่นิยมไปทั่วโลก รสสัมผัสซาบซ่านของโดปามีนนั้นทำให้บางคนเลือกเสี่ยงโชคมากกว่าซื้อของที่อยากได้ในราคาเดียวกันด้วยซ้ำ
ยิ่งเป็นแบบคละรางวัลที่มีทั้งของใหญ่เล็กก็ยิ่งเข้าทางผู้จัด โดยเฉพาะในสโตนเวิร์ลที่ไม่มีกฎหมายการพนัน ในเมื่อควบคุมสัดส่วนของรางวัลแต่ละช่วงราคาได้ตามใจชอบ อย่างไรก็ได้กำไรหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์
“ครั้งละ 500 ดราโก้~! ของรางวัลเล็ก ๆ ก็ขอให้พวกยุสึริฮะจังทำพวกตุ๊กตาหรืองานฝีมือขึ้นมาได้ ของรางวัลทั่วไปก็เป็นกล้องถ่ายรูปที่เหลือเพียบจากตอนหาบ่อน้ำมัน คูปองแลกเสื้อผ้า คูปองแลกราเม็งหรือสายไหม…แน่นอนว่าแลกคืนเป็นดราโก้-ไม่-ได้ แบบนี้ยังไงเงินก็ไหลมาทางเราไงล่ะ”
“คึคึคึ ใช้ได้นี่หว่า เจ้านักอ่านใจ แต่ที่สำคัญที่สุด…”
“ของรางวัลใหญ่~สินะ”
เก็นเอ่ยต่อประโยคจนจบ โบกนิ้วชี้ไปมา “ที่จะปรึกษาก็เรื่องนี้นี่แหละน้า อาศัยแค่ความตื่นเต้นจากการเสี่ยงดวงก็คงพอจะทำกำไรได้ก็จริง แต่อย่างน้อยของรางวัลใหญ่ควรจะน่าสนใจหน่อยพอให้ไม่น่าเกลียด”
“ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าพวกนั้นอยากได้อะไรล่ะนะ”
“ลองไปสืบมาดูแล้วแหละ~ หมายถึงวานให้ซุยกะจังไปสืบน่ะนะ อับดับหนึ่งก็คือ…ไม่ต่างจากที่คาดเท่าไหร่หรอก ดราโก้ไงล่ะ“ เก็นถอนหายใจ ”พวกเราก็อยากได้เหมือนกันแหละน้า“
”ขืนเอาดราโก้มาเป็นรางวัลก็ไม่มีความหมายสิฟะ“
”ก็ใช่น่ะสิ เอาเป็นว่าข้ามไปอันดับอื่น ๆ เลยละกัน โดยรวมแล้วก็เป็นสื่อความบันเทิงล่ะนะ สมาร์ตโฟน โซเชียลมีเดีย เกม อนิเมะ ทีวี—เฮ้อ คิดว่าไงล่ะ“
”มีแต่ของที่ต้องวาร์ปไปอีกหลายหมื่นปีทั้งนั้นเลยนี่หว่า อย่างทีวีนี่ต่อให้สร้างได้แล้วจะเอาคลื่นจากสถานีโทรทัศน์ที่ไหน”
”เกมก็น่าสนใจอยู่นะ อย่างเกมไพ่หรือเกมกระดานก็เป็นไปได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่ถึงกับจะเป็นรางวัลใหญ่ได้อยู่ดี…อ๊ะ”
เก็นอุทาน ก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง
“นึกอะไรออกแล้วเรอะ”
เหมือนกับเขาเห็นระลอกวูบไหวในดวงตาเรียวยาวคู่นั้น ก่อนมันจะหายไปในพริบตาถัดมา รวดเร็วไร้ร่องรอยจนชวนให้คิดว่าตาฝาดไปเอง
“ถ้าพูดถึงสื่อความบันเทิงในยุคนี้แล้วละก็ ต้องเป็นไอ้นั่นไม่ใช่เหรอ” นักอ่านใจเอียงศีรษะแล้วคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “เสียงเพลงของนางฟ้าเนี่ย…พอจะทำก๊อปปี้ขึ้นมาได้มั้ยนะ”
.
.
“แผ่นเสียงของลิเลียนสินะ”
ผลงานสุดท้ายของเทพธิดาแห่งเสียงเพลงวางอยู่กลางห้องแล็บ ไอเท็มสุดแรร์ระดับ SSR จากหลายพันปีก่อนที่เคยถูกพวกเขาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงผู้คนจากจักรวรรดิสึคาสะ ในตอนนี้เซ็นคู เก็น โครม และคาเซกิรุมล้อมมันด้วยเป้าหมายใหม่—นั่นก็คือการเพิ่มจำนวนของเจ้าสิ่งนี้
แม้ว่ารางวัลใหญ่ที่เก็นคิดเอาไว้จะเป็น ‘เครื่องเล่นแผ่นเสียง’ แต่ถ้าไม่มีแผ่นเสียงก็ไร้ความหมาย ครั้นจะให้ยืมใช้ก็เสี่ยงจะทำให้มันเสียหายได้ ดังนั้นจึงต้องคัดลอกแผ่นเสียงเพียงหนึ่งเดียวของโลกยุคหินแห่งนี้ขึ้นมาให้ได้เสียก่อน
“โอะโฮ้ ทำเลียนแบบเจ้าร่องเสียงที่ละเอียดยิบนี่น่ะรึ”
“โอ้…” โครมยกแผ่นเสียงที่ทำจากแก้วขึ้นมาส่องดูอย่างระมัดระวัง “ทำร่องเล็ก ๆ นี่ขึ้นมาให้เหมือนทุกกระเบียดนิ้วเนี่ยนะ ทำเรื่องแบบนั้นได้ด้วยงั้นเหรอ”
“คึคึคึ หลักการมันไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้นหรอกเฟ้ย”
เซ็นคูเคาะโต๊ะแล็บที่เตรียมอุปกรณ์ไว้พร้อม
“ก็แค่เทขี้ผึ้งลงไปเคลือบเจ้าแผ่นเสียงนี่แล้วรอให้เแข็งตัวก็จะได้แม่พิมพ์ จากนั้นก็หลอมพลาสติกเทลงไป เท่านี้ก็จะได้แผ่นเสียงที่ทำจากพลาสติกแล้ว แม้แต่ในโลกยุคเก่ามือสมัครเล่นก็ทำก๊อปปี้แผ่นเสียงไวนิลได้ด้วยวิธีสุดแสนจะง่ายดายแบบนี้นี่แหละ” เขาอธิบาย “คึคึคึ แต่ตอนนั้นมันผิดกฎหมายลิขสิทธิ์น่ะนะ”
คาเซกิร้องอ้อ “วิธีเดียวกับตอนที่ทำชิ้นส่วนรถยนต์ที่น่ารักของข้าสินะ!”
“ง่ายโคตร! แค่ฟังเฉย ๆ ฉันยังเข้าใจเลย ถ้าแค่นี้ไม่ต้องถึงมือคาเซกิก็ได้มั้ง”
“เออ อย่างน้อยก็ทางทฤษฎีล่ะนะ” เซ็นคูแคะหู ไม่อธิบายต่อว่าในทางปฏิบัติจะมีสาเหตุหมื่นล้านอย่างที่จะทำให้การก๊อปปี้แผ่นเสียงในยุคหินไม่ง่ายดายอย่างที่พูด อย่างไรเสียพอลงมือทำจริงก็เห็นเอง “อย่างที่โครมว่า มารุมล้อมแผ่นเสียงแผ่นเดียวไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะงั้นคนทำมีแค่ฉันกับโครมก็พอ ส่วนงานที่จะให้คาเซกิทำก็คือเจ้านี่”
ทีมประดิษฐ์อีกสองคนชะโงกหน้ามาดูกระดาษที่เขากางออก
“โอะโฮ้ เจ้านี่มันคืออะไรกันละเนี่ย”
“เดี๋ยวนะ หน้าตามันคุ้น ๆ” โครมหรี่ตาข้างหนึ่ง “ตรงนี้คือเข็มใช่มะ เจ้ากรวยนี่คือลำโพง…ไม่ก็ไมโครโฟน แล้วก็ตรงนี้เป็นแกนให้ไอ้กระบอกตรงกลางหมุน ๆ —ฮะ! หรือว่าจะเป็น….เครื่องบันทึกเสียง!?”
“ปิ๊งป่อง~~~ โครมจังได้ไปหมื่นล้านแต้ม!”
“หัวไวไม่เลวนี่หว่า”
โครมหน้าบานเป็นกระด้งเมื่อได้รับคำชม “แหงอยู่แล้ว! ฉันเองก็เป็นผู้ใช้วิทยาศาสตร์นะ”
“อุตส่าห์จะดันเครื่องเล่นเพลงขึ้นมาทั้งที ถ้ามีเพลงแค่เพลงเดียวก็ออกจะน่าเศร้าไปหน่อยใช่ม้า” เก็นอธิบายเสริม “ในบรรดาคนยุคเก่าที่สึคาสะจังปลุกขึ้นมาก็มีคนที่ร้องเพลงเก่งอยู่หลายคน ถึงไม่ใช่ระดับเดียวกับเทพธิดาแห่งเสียงเพลง แต่ก็เป็นสื่อความบันเทิงได้เหมือนกันนะ”
“ที่เซ็นคูเคยบอกว่าจะเอาเพลงเพราะ ๆ กับของน่าตื่นเต้นของยุคก่อนกลับมาให้พวกเราเห็น กำลังจะเป็นจริงทีละอย่างแล้วสิน้อ”
“นั่นสิเนอะ~” เก็นยิ้มให้กับคาเซกิที่เอ่ยขึ้นอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะหันมาทางเซ็นคู “จะว่าไปแล้ว เซ็นคูจัง ทำไมเจ้าเครื่องในแบบแปลนนี่ถึงบันทึกเสียงลงบนกระบอกล่ะ”
“โอ้ ฉันเองก็ติดใจอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าต้องใช้แผ่นแก้วหรอกเหรอ”
“เออ ไม่จำเป็นหรอก ขอแค่ขูดให้เป็นร่องได้ก็อัดเสียงได้ทั้งนั้น เครื่องบันทึกเสียงเครื่องแรกที่เป็นที่รู้จักกันของตาลุงเอดิสันก็ใช้กระบอกนี่แหละ”
“จริงดิ!? ฉันรู้แค่ว่าเขาประดิษฐ์หลอดไฟเท่านั้นเอง”
“ลิสต์สิ่งประดิษฐ์ของเอดิสันน่ะยาวเป็นหางว่าวเลยเฟ้ย เป็นตาลุงที่โกงไม่เบาเชียวล่ะ” เซ็นคูหัวเราะในลำคอ “ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ตอนนี้ บันทึกเสียงในกระบอกเสียงน่าจะได้คุณภาพดีกว่าแผ่นเสียง ถึงสมัยนู้นจะแพ้ในสงครามการตลาดเพราะผลิตจำนวนมากได้ยากกว่าจนแทบไม่เหลือให้เห็นในศตวรรษที่ 21 ก็เหอะ แต่พวกเราคงยังไม่ต้องสนใจเรื่องพรรค์นั้น”
“ฝ่ายที่คุณภาพดีกว่ากลับพ่ายแพ้จนต้องหายไปเหรอเนี่ย ทุนนิยมนี่โหดร้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วสิน้า~”
“แผนของแกก็ใช้ประโยชน์จากเจ้าตัวร้ายนั่นซะเต็มที่เลยไม่ใช่เรอะ”
“ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าต้องเลือกอันที่ดีกว่า…” โครมขมวดคิ้วครุ่นคิด สนใจเรื่องกลไกเครื่องจักรมากกว่ากลไกตลาดที่พวกเขากำลังคุยกัน “แต่เครื่องเล่นที่ใช้กับกระบอกเสียงก็จะใช้กับแผ่นเสียงไม่ได้ใช่ปะ”
“ตามนั้น นอกจากเรื่องรูปทรงแล้วก็ยังมีทิศทางของการบันทึกเสียงด้วยน่ะนะ เข็มของเครื่องบันทึกแบบกระบอกจะตัดลงไปในแนวตั้ง ทำให้ก้นร่องตื้นลึกสลับกันเหมือนหุบเขา ส่วนแผ่นเสียงจะเป็นแนวนอน ก็เลยจะเห็นสองด้านของร่องเป็นรอยขรุขระตามคลื่นเสียง—แบบนี้”
นักประดิษฐ์ทั้งสองมองตามนิ้วที่เซ็นคูชี้ไปที่ร่องบนแผ่นเสียงแก้ว พากันร้องอ้ออย่างตื่นเต้น
เก็นเองก็พยักหน้าหงึก ๆ หลักการของเครื่องบันทึกเสียงคงจะไม่ได้ซับซ้อนเกินความเข้าใจ
“ถ้างั้นตอนนี้เครื่องเล่นแผ่นเสียงก็จะเล่นได้เฉพาะเพลงของลิเลียนจังสินะ น่าเสียดายนิดหน่อยเนอะ~”
“เออ ไว้ถึงตอนที่พัฒนาเทคโนโลยีได้อีกนิดแล้วค่อยเปลี่ยนเจ้าพวกนี้เป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ทีเดียวแล้วกัน”
“จู่ ๆ ก็จะกระโดดไปขั้นนั้นเลยเหรอ!?”
“ถ้าจะเก็บรักษาเพลงสุดท้ายของลิเลียนไว้ตลอดไปอย่างที่สัญญาไว้กับยัยนิกกี้ก็มีแค่วิธีนั้นไม่ใช่รึไง” เซ็นคูเอ่ยกลั้วหัวเราะ พอได้ทำให้นักอ่านใจตื่นตกใจแล้วรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ปฏิกิริยาของหมอนี่ตลกดี ทั้งที่เป็นนักอ่านใจที่ถนัดปั้นโป๊กเกอร์เฟซ แต่ในเวลาแบบนี้กลับไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด อาจจะเพราะเหตุนั้นเขาจึงมักจะหาจังหวะพูดในเรื่องที่อีกฝ่ายคาดไม่ถึง เวลาสร้างอะไรสำเร็จสักอย่างก็เผลอมองหา
อย่างกับเด็กประถมที่เรียกร้องความสนใจจากคนที่—
“โอะโฮ้~ ข้าต้องสร้างเจ้าเครื่องบันทึกเสียงนี่ขึ้นมาโดยไม่มีเซ็นคูกับโครมคอยช่วยสินะ ชักตื่นเต้นขึ้นมาซะแล้วสิ!” คาเซกิเบ่งกล้ามเนื้อจนเสื้อปริขาด “ดีล่ะ ได้เวลาโชว์ฝีมือของตาแก่คนนี้แล้ว!”
“หวา คาเซกิจังไฟลุกขึ้นมาแล้วเนอะ~ พยายามเข้าน้า”
“เก็น! เจ้ามาเป็นลูกมือข้า ต้องสร้างเครื่องบันทึกเสียงให้เสร็จก่อนที่พวกเซ็นคูจะลอกแผ่นเสียงสำเร็จ!”
“อะ เอ๋ ฉันเหรอ โหดร้ายอ่า~”
เซ็นคูมองตามคนที่ถูกลากคอออกไปด้านนอกพร้อมกับเสียงโอดครวญ โครมที่อยู่ด้านข้างเองก็กำหมัดอย่างกระตือรือร้น “โอ้! เซ็นคู พวกเราห้ามแพ้เชียวนะ งานง่ายกว่าเห็นๆ!”
ถึงเขาจะไม่เข้าใจว่าจะแข่งกันไปเพื่ออะไร แต่มีพลังงานเหลือล้นก็ดีแล้วละมั้ง
โดยเฉพาะเมื่องานง่ายที่ว่า ในทางปฏิบัติอาจจะ—
“อี๋~~~~”
นักวิทยาศาสตร์ทั้งสองทำหน้าเหยเกพลางอุดหูเมื่อได้ฟังเสียงบาดหูของแผ่นก๊อปปี้ มันพอจะมีเค้าโครงของเสียงเพลงหลงเหลืออยู่ แต่คุณภาพเสียงนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าแผ่นเสียงแก้วต้นฉบับที่ไม่ได้ดีเด่อยู่แล้วลงไปอีกหมื่นล้านเท่า
เซ็นคูยกแผ่นเสียงพลาสติกที่ล้มเหลวขึ้นมาส่องกับไฟ
“ว่าแล้วเชียว ทั้งขี้ผึ้งทั้งพลาสติกมันเนื้อละเอียดไม่พอ”
“โอ้…นึกว่าเป็นงานกล้วย ๆ ซะอีก ไม่ว่าอะไรก็ต้องผ่านกระบวนการทดลองและผิดพลาดจริง ๆ แฮะ”
“ก็มันเป็นหลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์นี่นะ” เซ็นคูเหยียดยิ้ม “เอาล่ะ ก่อนอื่นก็ปรับสัดส่วน…”
สูตรแล้วสูตรเล่าผ่านไป แผ่นเสียงที่สอง สาม สี่ ถูกหลอมขึ้นมา แม้จะฟังดูคล้ายกับเสียงเพลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ยังถือว่าห่างไกลจากต้นฉบับอีกไกลโข
โครมฟุบลงกับโต๊ะแล็บ “อย่างแย่ โหดหินกว่าที่คิดแฮะ”
“คราวนี้พลาสติกเหลวไปเรอะ งั้นต่อไป…”
“เอาล่ะ ๆ ทีมนักวิทยาศาสตร์ทุกคน พักกินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะ~ “
เซ็นคูเงยหน้ามองต้นเสียง เก็นกับคาเซกิเดินกลับเข้ามาในห้องแล็บพร้อมกับถาดชามอาหาร
“อ้อ เวลาป่านนี้แล้วเรอะ”
“พลังสมาธิเอาชนะนาฬิกาในตัวเซ็นคูจังได้ด้วยสินะ” เก็นหัวเราะเจื่อนพลางแจกจ่ายข้าวเย็นให้ทุกคน “กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ”
โครก
“พอได้กลิ่นปุ๊บท้องก็ร้องเลยแฮะ” โครมลูบท้องตัวเองที่ส่งเสียงได้จังหวะ
เซ็นคูสูดราเม็งเข้าปาก ในสมองยังคิดเรื่องส่วนประกอบของพลาสติกที่จะทำในรอบถัดไป เก็นนั่งลงข้างเขา
“เฮ้อ~ เหนื่อยอ่า คาเซกิจังเล่นไม่หยุดพักเลยจริง ๆ น้า”
“เครื่องอัดเสียงเป็นไงบ้าง”
“พักกินข้าวก็ยังจะคุยเรื่องงานอีกเหรอ” เก็นเบ้หน้าใส่คำถามของเซ็นคู ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงตก “เอาเถอะ ก็เป็นเซ็นคูจังนี่น้า…คาเซกิจังฮึดสุด ๆ ก็เลยคืบหน้าไวเลยแหละ เห็นว่ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็ออกมาเป็นเครื่องหน้าตาเหมือนที่เขียนไว้ในแบบแล้วนะ”
“หุดฮอดดด!!!” โครมเงยหน้าขึ้นมาทั้งที่เส้นราเม็งยังเต็มปาก ก่อนจะกลืนลงคอเอื้อกใหญ่ “เสร็จก่อนพวกเราจริงด้วยเหรอเนี่ย!?”
“ยังไม่เสร็จเสียหน่อย ข้าลองไขลานแล้วการหมุนยังไม่สม่ำเสมอเท่าไหร่ ต้องปรับแก้อีกเยอะ”
“ฉันว่าสร้างของซับซ้อนแบบนั้นได้ในไม่กี่ชั่วโมงก็สุดยอดมากแล้วนะ~” เก็นหัวเราะแห้ง “แล้วทางเซ็นคูจังกับโครมจังล่ะ ดูท่าจะลำบากกว่าที่คิดนะ”
“โอ้ แย่เอาเรื่องเลย” โครมตอบ “เสียงแผ่นแรกที่ทำออกมาอย่างห่วย พอปรับสูตรก็ดีขึ้นอยู่หรอก แต่ส่วนประกอบมันเยอะเลยต้องค่อย ๆ ปรับไปทีละอย่างอะดิ”
“อ๋า~ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ต้องใช้เวลาทดลองเยอะเลยสินะ”
“เออ รอขี้ผึ้งแข็งตัวแต่ละรอบก็นานด้วย คงจะต้องใช้เวลาหลายวันเลยมั้ง”
“เหวอ…หลายวันเลยเรอะ ซวยแล้ว”
เก็นเท้าคางมองโครมที่พึมพำอย่างหมดแรง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วคลี่ยิ้ม
“ถ้างั้น ล้มเลิกโปรเจ็คก๊อปปี้แผ่นเสียงลิเลียนจังมั้ยล่ะ~”
“หา!?”
โครมร้องเสียงหลงเมื่อถูกยกเลิกคำขออย่างง่ายดาย เซ็นคูที่กำลังฟังไปกินไปเองก็สะดุดกึก เก็นแบมือพลางหัวเราะอย่างไม่จริงจัง
“ก็แหม มันยาก~กว่าที่คิดเยอะเลยใช่ม้า เสียเวลาทดลองต่อไปดูจะไม่คุ้มนี่นา ต่อให้ทำสำเร็จก็ต้องใช้เครื่องเล่นแยกต่างหาก เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เล่นได้แค่เพลงเดียวเนี่ยคงไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่หรอกมั้ง”
โครมยังคงช็อคตาตั้ง “ไอ้เรื่องนั้นมันก็…แต่—โธ่เว้ย อุตส่าห์ทำมาถึงขนาดนี้แล้วแท้ ๆ มันน่าเจ็บใจนะเฟ้ย!”
“เอาน่า ๆ พอมาคิดดูแล้วการก๊อปปี้แผ่นเสียงในยุคหินแบบนี้เนี่ยคงจะทำไม่ได้หรอกเนอะ”
“ใช่ที่ไหนเล่า! อีกนิดเดียวก็จะ—”
“ทำได้สิฟะ”
เซ็นคูพูดแทรกขึ้น ทั้งโครมที่กำลังโหวกเหวกและเก็นที่กำลังพูดพล่ามต่างก็เงียบเสียงลงและมองมาที่เขา
“ต่อให้ต้องใช้เวลามากหน่อย แต่ถ้าปรับส่วนประกอบกับวิธีไปทีละขั้น ยังไงก็ทำสำเร็จหมื่นล้านเปอร์เซ็นต์”
“เซ็นคูจัง…?”
“โอะ…โอ้ ใช่มั้ยล่ะ! จะล้มเลิกทั้งที่ยังไม่สำเร็จได้ยังไงกัน”
เขาไม่ได้หันไปมองโครมที่ลุกขึ้นด้วยไฟเดือดพล่าน สายตาจ้องตรงไปที่เก็นซึ่งกระพริบตาปริบ ไม่รู้ทำไมสีหน้าของนักอ่านใจถึงเจือไปด้วยความงุนงงและประหลาดใจ แต่เมื่อเจ้าตัวไม่ได้ค้านอะไรกลับมา เขาจึงเอ่ยต่อ
“ยังไงซะตอนนี้ก็ต้องรอเจ้าริวซุยทำโมเดลขึ้นมาก่อนถึงจะสร้างเรือต่อได้ ใช้เวลากับโปรเจ็คนี้สักหน่อยก็คงไม่เสียหาย” เซ็นคูโคลงศีรษะแล้วฉีกยิ้ม “แต่ก็จริง ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพกว่านี้ก็น่าจะลองเปลี่ยนแผนดูหน่อย โครม แกไปช่วยคาเซกิทำเครื่องอัดเสียงซะ”
“ใช่ ๆ—เอ๊ะ หา!?”
เจ้าของชื่อที่กำลังพยักหน้าเห็นด้วยเพลิน ๆ หันขวับ
“ก็เพิ่งจะพูดไปไม่ใช่เรอะว่าจะไม่ยอมล้มเลิก! ฉันก็จะทำแผ่นเสียงต่อด้วย อย่ามาดูถูกกันนะเฟ้ย!”
“ไม่ใช่เรื่องดูถูกอะไรทั้งนั้นแหละ” เขาแคะหู “เท่าที่ฟัง ตอนนี้ปัญหาของเครื่องบันทึกเสียงไม่ใช่เรื่องกลไกของเครื่อง หมายความว่าจะพึ่งพาแต่ช่างฝีมือไม่ได้ ต้องมีนักวิทยาศาสตร์เข้าไปแก้ปัญหาด้วย ดังนั้นแบ่งทีมแบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผลไม่ใช่เรอะ”
‘นักวิทยาศาสตร์’ อีกคนนิ่งอึ้ง ในแววตาปรากฏความเข้าใจขึ้นมาทีละน้อย
“...โอ้ ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!” โครมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาคาเซกิที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ “ดีล่ะ!!! ลุยกันเลย คาเซกิ!”
“โอะโฮ้~ ทีมกังหันน้ำคืนชีพแล้วสิเน้อ”
คู่หูนักวิทยาศาสตร์กับช่างฝีมือแท็กมือกัน เซ็นคูมองตามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตรงข้ามกับภายในใจที่ยังไม่สงบอย่างประหลาดมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองหลีกเลี่ยงที่จะหันไปทางคนด้านข้าง จนกระทั่งได้ยินเสียงกระซิบ
“นี่ เซ็นคูจัง”
พอเหลือบตามองก็ต้องชะงักกับระยะห่างที่น้อยกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร สัมผัสอุ่นนุ่มของเสื้อคลุมฤดูหนาวกับกลิ่นดอกไม้จาง ๆ ทำให้สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ความงุ่นง่านอันไร้เหตุผลหายวับราวกับเทียนที่ถูกเป่าดับ
เขาได้ยินเสียงชีพจรของตัวเองเร็วและดังขึ้น และยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อเก็นโน้มใบหน้ามาใกล้พร้อมกับป้องปาก
“เมื่อกี้ แค่พูดให้โครมจังฮึกเหิมขึ้นเฉย ๆ น่ะ” ลมหายใจแผ่วเบากระทบกับใบหู บริเวณนั้นร้อนผ่าวขึ้น “...ไม่ได้คิดว่าวิทยาศาสตร์ของเซ็นคูจังจะทำไม่ได้จริง ๆ สักหน่อย อย่าหงุดหงิดไปเลยนะ”
ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เซ็นคูใช้เวลามากกว่าปกติในการประมวลผลคำพูดนั้น
จนกระทั่งสมองซึมซาบความหมายของมัน ใบหน้าของเขาก็ชาวาบ
…มิน่าเมื่อกี้นักอ่านใจถึงทำหน้าแบบนั้น
เพราะหลุมพรางที่ขุดเอาไว้สำหรับโครม เขาดันเสนอหน้ากระโดดลงไปเสียเอง
อาศัยความต้านทานทางจิตวิทยาเพื่อหลอกล่อให้เป้าหมายเดินไปตามทางที่ต้องการ มันเป็นวิธีที่นักอ่านใจใช้อยู่บ่อยครั้ง ตามปกติแล้วเขาคงจะรู้ทันได้อย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้เป็นเพราะ—
ความคิดที่ว่าวิทยาศาสตร์ของเขาจะทำให้เก็นผิดหวังนั้น ทำให้เขาไม่สบอารมณ์สุด ๆ
โชคยังดีที่เก็นตีความไปอีกทางว่าปฏิกิริยาของเขาเกิดจากความ ‘ไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์’ ไม่อย่างนั้น…
“รู้อยู่แล้วเฟ้ย ไม่ได้หงุดหงิดอะไรสักกะมิลเดียว”
เซ็นคูโกหกหน้าด้าน ๆ อย่างไร้ทางเลือก เขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะหลอกนักอ่านใจได้ แต่เก็นกลับไม่มีท่าทีติดใจสงสัย
“นั่นสิน้า” เจ้าตัวหัวเราะแหะแล้วถอยออกไปจนระยะห่างเท่าเดิม “วิธีของเซ็นคูจังได้ผลมากกว่าด้วยเนอะ”
ทันทีที่สัมผัสหายไป อัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติ นักวิทยาศาสตร์แสร้งทำเป็นไม่สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง รวมถึงความรู้สึกเสียดายเล็กน้อยในใจอันไร้เหตุผล
“จะว่าไป ไอ้ที่ทำอยู่นี่คือเพื่อคริส…มาด? อะไรนั่นใช่ปะ” โครมหันมาเมื่อนึกขึ้นได้ “งั้นก็ต้องทำหลอดไฟไปแขวนต้นไม้ด้วยรึเปล่า”
“ก็น่าจะต้องทำไม่ใช่รึ มันเป็นวันที่ทุกคนมารวมตัวกันแลกของขวัญแล้วก็ประดับต้นไม้ด้วยหลอดไฟใช่มั้ยเล่า”
เซ็นคูเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำอธิบายวันคริสต์มาสอย่างตื้นเขินสุดขั้วของคาเซกิ ไม่ต้องเดาเลยว่าชายแก่ฟังมาจากใคร
“แกเล่าให้พวกชาวบ้านฟังแบบนั้นเรอะ”
คนต้นเรื่องยิ้มจืดเจื่อน “ก็แหม~ จะเล่าเรื่องศาสนาความเชื่ออะไรพวกนี้มันยุ่งยากนี่นา ละเอียดอ่อนด้วย”
“เอาเหอะ ก็ดี ยังไงซะโลกของวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีของพรรค์นั้นหรอก”
“ทางนี้ก็หยาบเกิ๊น! เดี๋ยวก็โดนคนที่ศรัทธาโกรธเอาหรอก”
เขาแคะหูอย่างไม่ใส่ใจ “จะทำหลอดไฟก็ได้ ยังไงก็ไม่เสียของเปล่า ในเหมืองยังต้องใช้อีกเยอะ”
“โอ้–! งานของทีมวิทยาศาสตร์เพียบเลยนี่หว่า งั้นต้องเร่งมือกันแล้วนะ คาเซกิ!”
“โอะโฮ้ วางใจได้ หลอดไฟน่ะข้าทำจนชำนาญแล้วละ”
“สุดยอดเลยน้า ทีมวิทยาศาสตร์เนี่ยยิ่งงานเยอะยิ่งคึกคักเนอะ” เก็นยิ้มแห้งแล้วเอามือซุกในแขนเสื้อ “...ดีจัง ปีนี้มีคนรู้จักคริสต์มาสเยอะแยะแล้ว ถ้าได้เห็น ‘ต้นคริสต์มาส’ คงจะดีใจกันแน่เลยเนอะ~”
คนพูดทอดสายตาออกไป แม้เซ็นคูไม่ใช่นักอ่านใจก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังนึกถึงความทรงจำช่วงไหน เพราะมันกำลังฉายย้อนในสมองของเขาเช่นกัน
ภาพด้านข้างของอีกฝ่ายในมุมเดียวกันนี้ ใบหน้าตื่นตะลึงที่สว่างไสวด้วยแสงสีขาว สีฟ้าของนัยน์ตาที่จะเห็นชัดเฉพาะยามที่สะท้อนกับแสงไฟ เบื้องหน้าคือต้นคริสต์มาสที่ในคืนนั้นมีเพียงพวกเขาสองคนที่รู้จัก
…ปีนี้หมอนี่คงจะไม่ทำหน้าตื่นเต้นแล้วละมั้ง
“คราวนี้ต้องเซ็ตจังหวะเปิดไฟให้อลังการไปเลยนะ เซ็นคูจัง”
“หา ไม่เห็นจำเป็นเลยนี่หว่า”
“จังหวะน่ะสำคัญสุดยอดเลยแหละ~ เทียบกับเปิดไฟต้นไม้ทิ้งไว้ตลอดงานแล้วมู้ดต่างกันลิบลับเลย พูดจริงนะ”
“เออ ๆ เรื่องพรรค์นั้นก็ให้แกจัดการแล้วกัน” เขาบอกปัด ก่อนจะแสยะยิ้ม “วุ่นวายจัดงานซะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ ต้องให้เจ้าพวกนั้นใช้แรงงานมาแลกคืนละนะ โร้ดแม็ปที่เหลือของการสร้างเรือต้องใช้กำลังคนมหาศาลเลยละเฟ้ย”
เก็นเบ้หน้าทั้งที่ตนเองไม่ใช่หนึ่งในคนที่ต้องใช้แรงงานที่ว่า
“น่ากลัวจัง~ เจ้าเครื่องทำสำเนาแรงงานมนุษย์ที่ลองใช้วันก่อนสินะ—ปากกาหนัก 50 กิโล”
“เออ ไอ้นั่นด้วย ไหนจะสร้างเหมืองแร่เหล็กอีก มีคนเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก”
โครมที่นั่งกินอยู่ฝั่งตรงข้ามชะงัก พึมพำว่า ‘สำเนา…เข็ม…ปากกา’ แล้วผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นสุดขีด
“เซ็นคู!!! นึกไอเดียโคตรเจ๋งออกแล้วเฟ้ย! ไอ้เจ้าเครื่องสำเนาน่ะ เอามาก๊อปปี้แผ่นเสียงใส่กระบอกเสียงก็ได้ใช่ปะ!?”
คนพูดทำไม้ทำมือประกอบ “นี่ไง ให้ฝั่งต้นแบบเป็นเข็มของเครื่องเล่นแผ่นเสียง เลียนแบบการเคลื่อนไหวมาที่ปลายอีกฝั่งที่เป็นเข็มของเครื่องอัดกระบอกเสียง—ก็จะได้กระบอกเสียงเพลงของเทพธิดา เท่านี้ก็ใช้เครื่องเล่นตัวเดียวกันได้แล้วไม่ใช่เรอะ!?”
เซ็นคูเบิกตากว้าง “โครม นี่แก…”
“ไงล่ะเฟ้ย ไอเดียสุดเจ๋งของฉัน!!! แม้แต่ศตวรรษที่ 21 คงยัง—”
“ส่วนใหญ่กระบอกเสียงก็ทำก๊อปปี้ด้วยวิธีนี้แหละ”
“มีคนทำแล้วหรอกเรอะ!?”
โครมหงายหลังตึง ตัวการที่ขัดความภาคภูมิใจของนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หัวเราะคึคึ
“ไอเดียแกไม่เลวจริง ๆ ละนะ แม้แต่ตาลุงเอดิสันเองก็ทำวิธีเดียวกัน—แต่กลับกันน่ะนะ หมอนั่นแปลงจากกระบอกเสียงเป็นแผ่น เพื่อลงมาเล่นในตลาดแผ่นเสียงไงล่ะ” เขาเอานิ้วก้อยแหย่หู “แต่น่าเสียดาย อย่างที่เคยบอกว่ามันบันทึกคลื่นเสียงคนละทิศ ถึงจะแปลงให้เป็นกระบอกเสียงก็ใช้เครื่องเล่นตัวเดียวกันไม่ได้—”
“เรื่องนั้นน่ะฉันไม่ได้ลืมหรอกนะเฟ้ย”
“หา?”
“ก่อนหน้านี้ตอนเห็นเจ้าเครื่องทำสำเนาน่ะ ฉันสงสัยว่าถ้าเปลี่ยนจุดที่ยึดให้นิ่งเป็นจุดอื่นจะเป็นยังไงก็เลยลองดู ปรากฏว่าเจอเรื่องเจ๋ง ๆ น่ะสิ…อธิบายเป็นคำพูดลำบากวุ้ย” โครมคว้ากระดาษกับดินสอถ่านขึ้นมากลางโต๊ะแล้วเริ่มขีดเขียน “เนี่ย ถ้าเปลี่ยนมาตรึงมุมนี้ไว้ แล้วขยับมุมที่อยู่ตรงข้ามกัน—เห็นมะ ปลายฝั่งนี้มันจะเคลื่อนที่แบบตั้งฉากกับมุมที่เราขยับไงล่ะ เท่านี้ก็เปลี่ยนทิศทางของเข็มจากแนวตั้งเป็นแนวนอนได้แล้ว!”
ดวงตาสีแดงที่จับจ้องบนกระดาษลุกวาวขึ้นเมื่อตระหนักได้ถึงรูปร่างที่เคยเห็นมาก่อน ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มตื่นเต้น
“Scott Russell linkage เรอะ…!”
“สะ…ก็อต…?”
เซ็นคูเงยหน้าขึ้นพบกับเครื่องหมายคำถามในดวงตาสามคู่ “เออ มันเป็นชื่อเรียกของการเชื่อมโยงที่แปลงการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยมุมตั้งฉาก—แบบที่แกว่านั่นแหละ โครม”
“โธ่เว้ย อันนี้ก็ถูกคิดค้นไปแล้วงั้นเหรอ”
พอได้ยินโครมบ่นอย่างผิดหวังเล็กน้อย เขาก็อ้าปากเตรียมจะเอ่ยแย้ง แต่กลับโดนตัดหน้าเสียก่อน
“เอ๋ แต่ที่โครมจังคิดขึ้นมาได้เองโดยไม่มีใครสอนนี่ก็สุดยอดมากแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันที่เป็นคนยุคเก่ายังไม่เคยได้ยินชื่อเมื่อกี้เลย”
น้ำเสียงของเก็นฟังดูต่างจากที่เจ้าตัวมักจะเลือกใช้ตามปกติ ครั้งนี้คงจะไม่ใช่เทคนิคปลุกใจ แต่เป็นความคิดจากใจจริง
“งะ งั้นเหรอ แย่ล่ะ ฉันอาจจะเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ก็ได้นะเนี่ย”
เซ็นคูยกยิ้มเมื่อเห็นคนถูกชมตัวพอง ในเมื่อมีคนพูดแทนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ
“เออ พ่ออัจฉริยะ ๆ ” เขาเอ่ยหน้าตาย “เรื่องน่ายินดีอีกอย่าง ไม่เคยมีบันทึกว่ามีคนใช้วิธีนี้ในการแปลงแผ่นเสียงเป็นกระบอกเสียง…อย่างน้อยก็เท่าที่ฉันรู้น่ะนะ”
โครมอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วผุดลุกขึ้นอย่างแรงจนเก้าอี้ล้ม ดูเหมือนจะตื่นเต้นเสียจนพูดไม่ออก อีกสองคนเองก็เข้าใจความหมายเช่นกัน
“เอาจริงดิ”
“โอะโฮ้ โครมเป็นคนแรกงั้นรึ!”
“—หรืออาจจะทำแล้วล้มเหลว ก็เลยไม่มีบันทึกเหลือทิ้งไว้ก็ได้ ถ้าคิดตามตรรกะแล้วสมมติฐานนี้อาจจะเป็นไปได้มากกว่า”
“อึก…!”
เซ็นคูเหลือบมองคนที่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกเขาขัดมวลความตื่นเต้นที่กำลังก่อตัวอย่างไร้ปรานี เอานิ้วแหย่หูอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่—ถ้าอยากลองก็ลองดิ”
“เอ๋?”
“เอาเถอะ ขั้นแรกสุดก็คือต้องสร้างเครื่องอัดเสียงให้สำเร็จซะก่อนน่ะนะ งานของทีมวิทยาศาสตร์ก็ไม่น้อย จะทำทันรึเปล่าก็ขึ้นอยู่กับแกแล้ว” เขาสบตากับอีกฝ่ายแล้วเหยียดยิ้ม “ฉันเองก็ไม่ว่างซะด้วย ต้องก๊อปปี้แผ่นเสียงต่อให้สำเร็จ เผื่อว่าอัจฉริยะบางคนเกิดทดลองล้มเหลวขึ้นมาไงล่ะ”
สีหน้าตกตะลึงของเด็กหนุ่มมลายหายไปแล้วถูกทดแทนด้วยความมุ่งมั่น รอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกายนั้นคือความตื่นเต้นท้าทายของนักวิทยาศาสตร์
“โอ้ หุบปากแล้วนั่งเฝ้าขี้ผึ้งไปเหอะ เดี๋ยวฉันเอาผลการทดลองไปโชว์ให้ดูถึงที่เลยเฟ้ย!”
โครมประกาศกร้าวอย่างไฟลุกโชนเต็มที่ หันไปคว้าตัวคาเซกิแล้วพากันวิ่งออกไปจากห้องแล็บทันที ชามอาหารที่ยังกินไม่หมดถูกลืมสนิทอยู่บนโต๊ะ
เซ็นคูยกตะเกียบกินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เก็นมองตามตาปริบ ๆ แล้วยิ้มแห้ง
“เด็กวัยรุ่นนี่เลือดร้อนดีจังน้า~ อ๊ะ แบบนี้ฉันก็ว่างแล้วสิ ลัคกี้~” คนที่อายุมากกว่าไม่กี่ปีพูดไปเรื่อยเปื่อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็หันมาทางเขา “เซ็นคูจัง วิธีที่โครมจังพูดเมื่อกี้น่ะทำได้จริงเหรอ”
“หา? จะไปรู้เรอะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่เคยเห็นบันทึก”
“เอ๋~ งั้นถ้าไม่สำเร็จขึ้นมาจะไม่ซึมแย่เหรอ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อความสามารถของโครมจังหรอกนะ แต่…”
“หมอนั่นเป็นลูกแกรึไงฟะ”
เขามองสีหน้าเป็นกังวลของคนด้านข้างแล้วถอนหายใจ จริงอยู่ว่าการดูแลสภาพจิตใจของสมาชิกราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์คืองานของนักอ่านใจ แต่ถ้าต้องคอยตามห่วงทุกคนแบบนี้คงเหนื่อยตายก่อนพอดี อย่างน้อยในกรณีนี้เขาก็คิดว่าไม่จำเป็น
“เมื่อกี้เจ้าโครมบอกว่าจะเอา ‘ผลการทดลอง’ มาให้ดูใช่มั้ยล่ะ—ไม่ใช่ ‘ผลงาน’ ”
“ก็ใช่นะ แล้วมันต่างกันยังไง…อ๊ะ”
นักอ่านใจเข้าใจอย่างรวดเร็ว คำว่า ‘ผลการทดลอง’ นั้นหมายความได้ถึงทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แม้เจ้าตัวคงจะไม่ได้ไตร่ตรองซับซ้อนก่อนพูด แต่การเลือกใช้คำโดยไม่รู้ตัวก็บ่งบอกได้ถึงการเตรียมใจอย่างชัดเจนแล้ว
ทั้งเซ็นคูและโครมต่างก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่จะเสียเวลาเปล่า แต่ต่อให้โอกาสสำเร็จจะน้อยแค่ไหน ต่อให้งานจะเยอะกว่านี้ หรือมีเวลาน้อยกว่านี้ ถ้าเพียงโอกาสไม่ใช่ศูนย์ เขาก็ไม่คิดจะห้ามใครที่อยากลงมือพิสูจน์สมมติฐานของตัวเอง เพราะเซ็นคูเข้าใจดีที่สุดถึงความรู้สึกที่อยากจะเห็นทุกสิ่งด้วยตาตนเองและอยากทดลองทุกอย่างด้วยมือตนเอง มันคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้
กระบวนการทดลองและผิดพลาด ถ้าวิธีนี้ไม่ได้ผลก็หาวิธีใหม่ แม้แต่ผลการทดลองที่ล้มเหลวก็คือขุมสมบัติที่อาจจะได้หยิบมาใช้ในสักวัน—นั่นล่ะคือวิทยาศาสตร์
“นักวิทยาศาสตร์ของโลกยุคหินอย่างเจ้านั่นคงจะล้มเหลวมาเป็นหมื่นล้านครั้งแล้วละเฟ้ย ไม่สำเร็จอีกสักครั้งก็คงไม่ตายหรอกน่า”
“...แข็งแกร่งกันจังน้า พวกนักวิทยาศาสตร์เนี่ย”
เก็นพึมพำ
“แล้วก็ ถึงวิธีของหมอนั่นไม่สำเร็จ จริง ๆ ก็มีวิธีแปลงแผ่นเสียงเป็นกระบอกที่โคตรจะเรียบง่ายอยู่อีกอะนะ”
“เอ๋?”
เซ็นคูใช้ตะเกียบชี้ไปทางลำโพงของเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่วางอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ
“เล่นแผ่นเสียงแล้วเอาไมโครโฟนของเครื่องบันทึกเสียงมาจ่อใกล้ ๆ ลำโพงไง”
“เล่นง่ายเกิ๊น!!!”
“คึคึคึ ถึงจะดูชุ่ยไปหน่อย แต่ก็ได้ผลแน่นอนนะเฟ้ย เอาเหอะ คุณภาพเสียงก็คงห่วยบรมแหละนะ รอดูผลการทดลองของดร.โครมก่อนแล้วกัน ถึงจะบอกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าสำเร็จ—ก็น่าตื่นเต้นดีไม่ใช่เรอะ”
เขายกชามราเมงขึ้นซดเป็นคำสุดท้ายแล้ววางชามที่ว่างเปล่าลง มองไปทางม่านกั้นทางเข้าห้องแล็บที่นักวิทยาศาสตร์อีกคนหายลับไป
แม้ว่าเขาจะมีองค์ความรู้ที่มนุษยชาติสั่งสมมานับสองล้านปีอยู่ในหัว แต่โครมที่ไม่มีข้อมูลที่ว่าก็หมายความว่าไม่มี ‘ข้อจำกัด’ เช่นกัน จินตนาการและความอยากรู้อยากเห็นอันเปิดกว้างนั้นสร้างโอกาสให้ราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
เซ็นคูหยุดกึกเมื่อหันมาสบตากับอีกคนที่นั่งเท้าคางมองเขาพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขามุ่นคิ้ว
“...หนวกหู”
“เอ๋~ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยน้า”
“แกกำลังจะพูดอะไรน่าคลื่นไส้หมื่นล้านเปอร์เซ็นต์”
“ใจร้ายอ่า เปล่าสักหน่อย” เก็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลง “ก็แค่คิดว่าเซ็นคูจังเคารพแล้วก็เชื่อใจโครมจังในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เหมือนกันสินะ”
“ก็น่าคลื่นไส้จริง ๆ นี่หว่า”
เซ็นคูลุกขึ้น เอื้อมมือไปหมายจะเก็บชามที่โครมกับคาเซกิทิ้งไว้ แต่กลับถูกมืออันว่องไวของนักมายากลชิงตัดหน้าเสียก่อน แม้แต่ชามของตัวเองที่อยู่ตรงหน้าก็พลอยหายวับไปด้วย เขายักไหล่ให้รอยยิ้มเผล่ของอีกฝ่ายแล้วหยิบบีกเกอร์หลายใบขึ้นมาเตรียมทำงานต่อ
“นี่ เซ็นคูจัง”
“อะไรอีกล่ะ”
“ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นแผ่นเสียงหรือกระบอกเสียง…ตัวก๊อปปี้ของแผ่นเพลงลิเลียนจังกับเครื่องเล่นน่ะ เอาขึ้นเรือไปด้วยสักชุดสิ”
ในน้ำเสียงนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหยุดมือ แต่เมื่อหันไปมองก็เป็นอีกครั้งที่จับ ‘อะไรบางอย่าง’ ไม่ทัน
“คงจะเสี่ยงเอาแผ่นเสียงที่มีแผ่นเดียวบนโลกขึ้นเรือไปด้วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นตัวก๊อปปี้ก็ไม่มีปัญหาใช่ม้า สื่งบันเทิงน่ะจำเป็นต่อการเดินทางนาน ๆ นะ ผ่อนคลายไงผ่อนคลาย~”
เก็นอธิบายพลางยิ้มตาหยี ไม่มีร่องรอยความผิดปกติที่ได้ยินเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วหลงเหลืออยู่เลยสักนิด
“...เออ ก็ได้อยู่หรอก”
“ตามนั้น~ งั้นฉันแวบหนีก่อนโดนจับตัวไปช่วยงานอีกดีกว่า เซ็นคูจังก็อย่าทำงานเพลินจนลืมข้าวเย็นล่ะ~”
คนพูดหายวับผ่านม่านกั้นไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับถาดใส่ชามที่กินเสร็จ ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่ก็คงจะไปเตรียมการเรื่องอื่นสำหรับงานคริสต์มาสไม่ผิดแน่
เซ็นคูครุ่นคิดขณะเริ่มผสมขี้ผึ้งสูตรใหม่
นึกแล้วเชียว นักอ่านใจจริงจังกับโปรเจ็คทำก๊อปปี้แผ่นเสียงไม่ใช่เล่น และไม่ใช่เพราะเรื่องเงินทุนด้วย
แม้จะไม่รู้เหตุผล แต่เซ็นคูรับรู้ได้เลา ๆ มาตั้งแต่ต้นว่าเก็นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ—และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาเผลอต่อต้านขึ้นมาอย่างแรงเมื่อเจ้าตัวเอ่ยปากว่าจะล้มเลิกโปรเจ็ค
เอาขึ้นเรือ? หรือว่านั่นคือสาเหตุที่แท้จริง แต่ทำไมล่ะ
คำอธิบายเรื่องสิ่งบันเทิงอะไรนั่นก็พอจะสมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่เขารู้สึกว่าไม่ใช่แค่นั้น
ยิ่งไปกว่านั้น—
“...แกจะไม่อยู่บนนั้นด้วยซ้ำไม่ใช่เรอะ”
ถ้อยคำที่เผลอทำหลุดรอดออกจากปากล่องลอยอย่างโดดเดี่ยว มันฟังดูน่าสมเพชสิ้นดี
.
.
ใช้เวลาไม่กี่วัน เครื่องบันทึกเสียงก็เสร็จสมบูรณ์ด้วยไอเดียของโครมในการเคลือบกระบอกไม้ด้วยน้ำยาเคลือบเงา ส่วนอีกโปรเจ็คของเจ้าตัวในการแปลงแผ่นเสียงของลีเลียนให้เป็นกระบอกเสียงนั้น…ถือได้ว่าสำเร็จมากกว่าล้มเหลว เพราะผลงานที่ได้ก็พอฟังรู้เรื่อง เพียงแต่กระบอกเสียงที่ใช้วิธีสุดจะเรียบง่ายอย่างการอัดเสียงจากลำโพงดันให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเสียอย่างนั้น โครมมีท่าทีเจ็บใจเล็กน้อย แต่ก็ฟื้นตัวได้รวดเร็วอย่างที่คาด
ในเมื่อได้เครื่องบันทึกและเล่นกระบอกเสียง ผนวกกับกระบอกเสียงเพลงของเทพธิดามาเป็นรางวัลใหญ่ของกิจกรรมสอยดาวแล้ว แผ่นเสียงก๊อปปี้ที่เซ็นคูใช้เวลาหลายวันทำจากพลาสติกจนสำเร็จเองก็หมดประโยชน์เช่นกัน
ความจริงเขาไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ถึงอย่างไรในระหว่างนั้นก็ทำงานอย่างอื่นไปด้วยจึงถือว่าไม่ได้เสียเวลามากมาย แต่เก็นบอกว่าตัวก๊อปปี้ฉบับแผ่นเสียงให้คุณภาพเสียงดีกว่า อาจจะมีคนที่อยากสะสมก็ได้ จึงตกลงว่าจะวางขายมันในห้างเซ็นคูด้วย
หลอดไฟสำหรับประดับต้นไม้ก็เสร็จเรียบร้อยดี แม้แต่งานที่เพิ่มเข้ามาใหม่ภายหลังอย่างเวทีกับแสงสีที่ใช้ประกอบการแสดงในงานคริสต์มาสปาร์ตี้ก็ไม่มีปัญหา สรุปก็คือทุกโปรเจ็คของทีมวิทยาศาสตร์—เคลียร์
สุดท้ายแล้วเขายังคงไม่รู้เหตุผลที่เก็นนึกอยากทำก๊อปปี้แผ่นเสียงของลิเลียน จนกระทั่งคืนคริสต์มาสอีฟมาถึง
5740.12.24
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น แม้จะไม่ได้หรูหราอลังการนัก แต่บรรยากาศในค่ำคืนนี้ถือว่าครึกครื้นไม่เลว ผู้คนรวมตัวกันกินดื่มอย่างสนุกสนานในลานกว้าง ฝั่งหนึ่งเป็นแผงขายของกิน ในขณะที่อีกฝั่งเป็นเวทีขนาดใหญ่ที่แต่ละกลุ่มผลัดกันขึ้นไปแสดง
ตรงกลางของฝูงชนคือต้นสนขนาดใหญ่ที่ถูกขนย้ายมาตั้งตระหง่าน กิ่งก้านด้านล่างมีกระดาษรูปดาวผูกเชือกห้อยละลานตา พร้อมด้วยของรางวัลน้อยใหญ่ที่จัดวางอยู่ใต้ต้นไม้
ส่วนทีมวิทยาศาสตร์อย่างพวกเซ็นคูก็ผลัดกันควบคุมแสงเสียงอยู่ข้างเวที แม้จะไม่ได้เข้าไปรวมกลุ่ม แต่ก็ไม่ห่างไกลจากกิจกรรมสอยดาวที่เก็นเป็นคนดำเนินการหลักอยู่นัก ดูท่าจะไปได้สวยทีเดียว
ในตอนที่เวลาล่วงเลยมาจนดึก เสียงแกร๊ง ๆ ของโลหะกระทบกันก็ดังขึ้นดึงดูดสายตาของคนโดยรอบ
–เสียงที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า ‘รางวัลใหญ่’ ออกแล้ว
“โอ๊ะ~! ยินดีด้วยนะนิกกี้จัง ถูกรางวัลใหญ่ล่ะ!”
นักอ่านใจประกาศผลลั่นต่อหน้าเด็กสาวผมเปีย เจ้าหล่อนยืนอึ้งมองของรางวัลตรงหน้าตาค้าง ก่อนน้ำตาเม็ดโตจะร่วงผล็อย
“เครื่องเล่นเพลงพร้อมบทเพลงสุดท้ายของลิเลียน ไวน์เบิร์ก เวอร์ชั่นกระบอกเสียง!”
เก็นหัวเราะแหะ “...ว่าไปนั่น แต่ก็เป็นตัวก๊อปปี้ที่คุณภาพแย่กว่าต้นฉบับล่ะนะ ถ้าอยากได้แผ่นเสียงที่คุณภาพดีกว่านี้ต้องซื้อจากห้างเซ็นคู—”
เสียงของคนช่างจ้อขาดหายไปเมื่อถูกโผเข้ากอด
นิกกี้สะอื้น “...ขอบใจนะ เก็น”
เซ็นคูที่มองอยู่กระตุกยิ้ม
ดูเอาสิ แม้แต่เจ้าตัวยังรู้เลยว่านักอ่านใจบางคนจงใจให้เป็นแบบนี้
คนถูกกอดแข็งทื่อไปพริบตาหนึ่ง ก่อนจะผ่อนคลายลงแล้วตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ “โธ่ ทำไมถึงมาขอบใจฉันกันล่ะ~ นิกกี้จังจับฉลากได้เองนี่นา—ว่าแต่ แน่นเกินไปแล้ว! หายใจ…ไม่…”
เซ็นคูมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าพลางเอานิ้วแหย่หู แสร้งทำเป็นบ่นอย่างรำคาญใจ
“ถ้าตั้งใจแบบนี้แต่ต้นก็เอาแผ่นเสียงของจริงให้ยัยนั่นเลยก็ได้ไม่ใช่เรอะ ยังไงก็คงดูแลอย่างดีอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องวุ่นวายทำตัวก๊อปปี้เลยนี่หว่า”
โครมกับคาเซกิที่ยืนอยู่ด้านข้างในฐานะทีมวิทยาศาสตร์พร้อมใจกันหันมามองเขาด้วยสายตาประหลาด
“พูดอะไรของแกฟะ เซ็นคู”
“โอะโฮ้ พูดจาทึ่ม ๆ ไม่สมกับเป็นเจ้าเลยน้อ”
“หา?” เขาเลิกคิ้ว รู้สึกแปลกพิลึกที่ถูกมองเหมือนเป็นคนโง่อย่างที่นานทีปีหนจะโดนสักครั้ง
คาเซกิหัวเราะเบา ๆ
“ก็ต้องเพราะว่าแผ่นเสียงนั่นไม่ได้มีแต่เสียงเพลงของนางฟ้าไม่ใช่รึ”
ดวงตาสีแดงเบิกกว้างขึ้น
‘เซ็นคู พ่ออยากให้ลูกรู้ไว้ว่าตลอดมา…’
อ้อ
—จริงสิ มีเสียงของตาแก่นั่นอยู่ด้วยนี่นะ
เขาเท้าเอวพลางหัวเราะก๊าก “ลืมไปซะสนิทเลยฟ่ะ!”
“หาาา นั่นของดูต่างหน้าของพ่อแกเลยนะเฟ้ย ลืมได้ไงฟะ!?”
ความจริงพูดว่าลืมก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพียงแต่—
เขาเมินต่อเสียงโวยของโครม เสียงหัวเราะแผ่วจางลง ดวงตาที่ทอดมองไปยังคนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนไหวระริกโดยที่ไม่มีใครจับสังเกต
เก็นสูดหายใจเฮือกใหญ่เมื่อถูกปล่อยตัวจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของเด็กสาว เดินโซเซมาทางกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ยุสึริฮะกับพวกผู้หญิงพากันไปปลอบนิกกี้ที่ยังร้องไห้ไม่หยุด
มินามิที่ถ่ายรูปอยู่ด้านข้างปาดน้ำตา “นายนี่ก็ทำเรื่องดี ๆ กับเขาเป็นเหมือนกันนี่นา”
“เอ๋~ ทำไมทุกคนถึงพูดเหมือนฉันล็อคผลกันหมดล่ะ”
“ก็โจ่งแจ้งซะขนาดนั้น คิดจะหลอกใครกันฟะ”
“แย่เลยน้า ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” เก็นยกแขนเสื้อขึ้นปิดปาก “ก็แบบนี้น่าจะกระตุ้นยอดขายเครื่องเล่นเพลงได้ดีที่สุดนี่นา”
“เอ๋?” มินามิชะงัก
“คือว่านะ เดี๋ยวจบงานนี้ห้างเซ็นคูจะรับสั่งทำเครื่องเล่นแผ่นเสียงกับเครื่องเล่นกระบอกเสียงล่ะ ถ้าจะหาพรีเซ็นเตอร์ที่จะเล่นเพลงของลิเลียนจังบ่อยที่สุดเพื่อกล่อมให้ทุกคนอยากได้ขึ้นมาแล้วละก็ ยังไงก็ต้องเป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่งอย่างนิกกี้จังใช่มั้ยล่ะ~”
เก็นแสยะยิ้ม “เนอะ เซ็นคูจัง”
ป่านนี้แล้ว หมอนี่ยังคิดว่าใครจะเชื่อข้ออ้างพรรค์นี้อยู่อีกเรอะ
เขาเหลือบมองคนข้าง ๆ ด้วยสายตาระอา แต่สุดท้ายก็พ่นลมหายใจและเล่นตามน้ำไปเหมือนทุกที
“คึคึคึ ทำได้ไม่เลวนี่หว่า นักอ่านใจต้มตุ๋น”
“ให้ตายสิ ชมหน่อยไม่ได้เลยนะพวกนายเนี่ย” นักข่าวสาวทำหน้าแขยงแล้ววิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปรวมกลุ่มกับผู้หญิงที่รุมล้อมนิกกี้กันอยู่
ดูเหมือนจะยังมีคนเชื่ออยู่แฮะ
เซ็นคูคิดอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนภาพลักษณ์ตื้นเขินที่อาซากิริ เก็นในฐานะนักมายากลลวงโลกสร้างไว้บนสื่อบันเทิงเมื่อ 3700 ปีก่อนจะแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ถึงสำหรับเขาแล้วมันจะชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันว่าเป็นแค่เปลือกนอกก็ตาม
พอมองไปด้านข้างก็เห็นเก็นยิ้มกริ่มอย่างพออกพอใจเสียเต็มประดา ท่าทางอารมณ์ดีเสียจนน่ามันเขี้ยว
เขายับยั้งมือของตัวเองที่อยากจะยกขึ้นหยิกแก้มอีกฝ่าย ทันพอดีกับที่เก็นแสร้งถอนหายใจยาว
“แหม แต่ถ้าคนเขาคิดว่าฉันโกงกันหมดก็ไม่มีคนกล้ามาเล่นสอยดาวกันพอดีน่ะสิ” เก็นมองไปทางการแสดงบนเวที “ใกล้ถึงตาฉันขึ้นแสดงแล้วด้วยนี่นา งั้นก็วานซุยกะจังจัดการต่อทีนะ~”
“อื้อ! ไว้ใจซุยกะได้เลยอะค่ะ”
เด็กหญิงผู้สวมหน้ากากแตงโมยกมือสุดแขนอย่างกระตือรือร้น คนที่เตรียมทางหนีทีไล่ไว้อย่างดีกระโดดแผล็วไปทางเวที
อย่างนี้นี่เอง ถ้าฝากซุยกะละก็ไม่มีใครกล้าบ่นเรื่องผลของรางวัล และสมมติว่ามีไอ้หน้าโง่ที่มาหาเรื่องซุยกะจริงก็คงไม่พ้นมือเท้าของแม่สิงโตตัวเมียอย่างโคฮาคุแน่
“เฮ้ เซ็นคู จะได้เวลาแล้วนะเฟ้ย”
“เออ รู้แล้ว”
เซ็นคูหันกลับไปเตรียมทำหน้าที่ควบคุมไฟบนเวที เขาปรับโฟกัสให้มีสมาธิกับงานตรงหน้า การแสดงมายากลของเก็นจำเป็นจะต้องใช้การควบคุมที่ละเอียดซับซ้อนกว่าการแสดงบนเวทีอื่น ๆ ที่ผ่านมาพอสมควร โดยเฉพาะในตอนท้าย…
“เอาล่ะ ต่อไปเป็นกลสุดท้ายของคืนนี้ ดูเก้าอี้ตรงนี้ไว้ให้ดีน้า~ 3…2…”
ทุกสายตาจับจ้องไปตรงจุดที่นักอ่านใจชี้นำ ทันใดนั้นไฟทุกดวงก็ดับมืดลงก่อนที่เสียงนับถอยหลังจะดังถึงศูนย์
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไฟดับเหรอ”
เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วในหมู่ฝูงชน เสียงของเก็นดังขึ้นท่ามกลางความตื่นตระหนกที่เริ่มก่อตัว
“ทุกคน ใจเย็น ๆ แล้วอย่าเพิ่งแตกตื่นกันนะ เหมือนว่าจะเกิดปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย…”
แสร้งทำเป็นว่าระบบไฟขัดข้องเพื่อดึงความสนใจจากทุกคน จากนั้นก็เปิดไฟประดับที่ต้นสนขนาดใหญ่กลางลาน เป็นเซอร์ไพรส์ที่เป็นไฮไลต์สำคัญที่สุดของคริสต์มาสปาร์ตี้ในคืนนี้
นั่นคือแผนที่นักอ่านใจวางเอาไว้
แต่แบบนั้น—ก็ไม่ใช่ ‘เซอร์ไพรส์‘ สำหรับเจ้าตัวน่ะสิ
มุมปากของนักวิทยาศาสตร์หยักโค้งขึ้น เขาหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้โครมท่ามกลางความมืดแล้วเปิดสวิตซ์ทีละอัน
นำมาด้วยเสียงเพลงของเทพธิดาที่เปิดจากแผ่นเสียงพลาสติก คุณภาพเสียงที่ได้ยินจากลำโพงหลายตัวตามจุดต่าง ๆ ของงานไม่ด้อยไปกว่าแผ่นแก้วต้นฉบับ จากนั้น—
แสงไฟหลากสีค่อย ๆ สว่างขึ้นบนต้นไม้นับสิบต้นโดยรอบ ห้อมล้อมมนุษย์จำนวนน้อยนิดที่ฝืนโชคชะตาฟื้นขึ้นมาในโลกที่เต็มไปด้วยหิน และสุดท้ายต้นคริสต์มาสตรงกลางก็สว่างไสวไปด้วยสีขาวโพลน
สีสันระยิบระยับตกกระทบในดวงตานับร้อยคู่ที่เบิกกว้าง วินาทีนั้นราวกับทิวทัศน์เมื่อหลายพันปีก่อนได้ข้ามกาลเวลามาอยู่ตรงหน้าพวกเขา
สีฟ้าจากคอปเปอร์ สีเขียวจากโครเมียม สีม่วงจากแมงกานีส สีเหลืองจากตะกั่วและพลวง ผสมสารออกไซด์ของโลหะในสัดส่วนต่าง ๆ ลงไปในตอนที่หลอมแก้วแล้วทำเป็นหลอดไฟ หลักการง่าย ๆ ไม่ต่างอะไรจากเด็กอนุบาลเล่นผสมสี แต่ภาพที่ได้นั้นตระการตาอย่างน่าเหลือเชื่อ
เริ่มแรกมีเพียงเสียงเพลงในความเงียบสงัดของคนนับร้อย จากนั้นคือเสียงสูดหายใจเข้าและระเบิดออกเป็นเสียงอุทานอย่างตื่นเต้น
“โอ้! สำเร็จครั้งใหญ่เลยนะ เซ็นคู!!”
ข้าง ๆ คือโครมที่ตบหลังเขาอย่างคึกคักที่ได้เห็นภาพสำเร็จของผลงานที่ทุ่มเทเตรียมการมา แต่ในตอนนั้นเขาไม่สนใจจะมองไฟประดับสุดอลังการที่ใช้เวลาหลายวันทำขึ้นมาด้วยซ้ำ
ดวงตาของเซ็นคูจับจ้องไปที่จุดเดียวเท่านั้น
โชคดีที่จุดนั้นเป็นจุดที่เห็นได้ชัด เพราะมันคือใบหน้าของคนที่เป็นตัวเอกบนเวทีเมื่อครู่
เขาจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ใบหน้ายามตกอยู่ในภวังค์ภายใต้สีสันของแสงไฟ ริมฝีปากที่เผยอออกเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายเหม่อมองทิวทัศน์ตรงหน้าที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเลื่อนลงมองผู้คนด้านล่างเวทีที่แสดงปฏิกิริยาแตกต่างกันไป บางคนก็โห่ร้องยินดี บางคนก็หลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยถึงวันวาน
นักมายากลที่ไม่ได้อยู่ตรงกลางของแสงไฟ ชายผู้พูดติดปากว่าไม่สนใจอะไรนอกจากประโยชน์ของตนเอง
ช่วงเวลาที่เจ้าตัวคิดว่าไม่ได้ตกอยู่ในสายตาของใคร เขามองความสุขของคนอื่นแล้วแย้มยิ้มออกมา
ลมหายใจพลันสะดุด
รู้สึกเหมือนกับหัวใจถูกบีบรัด เซ็นคูได้ยินเสียงชีพจรของตนเองเต้นเร็วขึ้น…89…90 ครั้งต่อนาที สูงขึ้นจากค่าปกติ 1.2 เท่า สัมผัสได้ถึงความซาบซ่านของโดปามีนที่หลั่งในสมอง รุนแรงยิ่งกว่าการเสี่ยงดวงหรือการพนันใด ๆ
อาการที่ชวนให้หวนนึกย้อนถึงวันที่เปิดประตูห้องแล้วพบกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ละลานตา ของขวัญคริสต์มาสที่ดีที่สุดเมื่อหลายพันปีก่อน
—หนึ่งรอยยิ้มนี้มีผลต่อตัวเขาไม่น้อยไปกว่ากันเลย
“เฮ้ เหม่ออะไรอยู่ได้เนี่ย”
เขาเซไปเล็กน้อยเมื่อถูกศอกถองเข้าที่สีข้าง ตอนนั้นเขาถึงเพิ่งจะละสายตาได้ เซ็นคูเท้าเอวแล้วยกมือขึ้นขยี้เส้นผมชี้ตั้งด้วยอารมณ์ผสมปนเป
“...เออ ได้ข้อสรุปแล้วมั้ง”
“หา? เรื่องอะไรฟะ”
ความจริง มันไม่ได้คาดเดายากเย็นขนาดนั้น เพราะจนถึงตอนนี้ก็ได้รับ ‘คำใบ้’ เป็นระยะอยู่แล้ว
อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากนอร์เอพิเนฟรีน ออกซิโทซินที่ทำให้ผ่อนคลายจนเผลอกำแพงลง ความดึงดูดที่เกิดจากโดปามีนกระตุ้นวงจรการให้รางวัลในสมอง สารสื่อประสาททั้งหลายหมุนเวียนชี้ไปที่คำตอบเพียงหนึ่งเดียว
ชัดเจนยากจะเลี่ยง ราวกับเลนส์กล้องที่ปรับโฟกัสตรงพอดี
ทว่าครั้งนี้สิ่งที่ฉายชัดไม่ใช่ดาวเสาร์ที่ห่างออกไปพันล้านกิโลเมตร แต่เป็นความรู้สึกในใจของเขาเอง
ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป งานเลี้ยงฉลองก็จบลง หลังจากช่วยกันเก็บข้าวของ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับที่พัก เซ็นคูอาศัยช่วงเวลานั้นกลับมาที่ห้องแล็บคนเดียว
เครื่องเล่นแผ่นเสียงเครื่องหนึ่งยังคงวางเด่นอยู่บนโต๊ะกลางห้องเนื่องจากพวกเขาใช้มันทดสอบแผ่นเสียงฉบับก๊อปปี้ แผ่นเสียงแก้วตัวต้นฉบับเองก็วางอยู่ไม่ห่าง
เขาหยิบมันขึ้นมาวางบนเครื่องเล่น บนแผ่นเสียงนั้นมีแต้มสีที่เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของบทเพลงของลิเลียน แทนที่จะวางเข็มกระดูกบนบริเวณนั้นอย่างที่ทำมานับสิบครั้ง ครั้งนี้เขาเลือกเล่นตั้งแต่จุดเริ่มต้น
เซ็นคูนั่งเท้าคางมองแผ่นเสียงที่เริ่มหมุน
‘ไม่รู้ว่าคนที่ได้ยินเสียงนี้ จะเป็นใครหรือเวลามันผ่านไปกี่ร้อยปีหรือกี่พันปีแล้วหรอกนะ…ผมเป็นนักบินอวกาศ อิชิกามิ เบียคุยะครับ’
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟังแผ่นเสียงนี้พร้อมกับทุกคนในหมู่บ้าน เขาก็ไม่เคยคิดย้อนกลับมาฟังส่วนแรกของเสียงบันทึกอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้
ไม่ใช่เพราะว่าลืม แต่เพราะ ‘ไม่มีทางลืม’ อยู่แล้วต่างหาก
ในเมื่อไม่ลืม ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องฟังซ้ำ
‘...คือลูกเองใช่มั้ยล่ะ เซ็นคู’
คุณภาพต่ำเตี้ยของแผ่นเสียงแก้วทำให้เสียงของเบียคุยะฟังดูแปร่ง แต่มันกลับยิ่งทำให้หวนนึกถึงเสียงที่เคยได้ยินผ่านลำโพงโทรศัพท์มือถือข้ามประเทศ
ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่ได้ยินอีกแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งมาถึงอีกครั้ง
“ตัวก๊อปปี้ของแผ่นเพลงลิเลียนจังกับเครื่องเล่นน่ะ เอาขึ้นเรือไปด้วยสักชุดนึงสิ”
และดูเหมือนใครบางคนจะไม่ยอมให้มันหายไปจากมือเขาอีกต่อไป
“เหอะ ช่างใส่ใจเหลือเกินนะ”
ในจังหวะที่ภาพของชายเจ้าแผนการคนนั้นปรากฏขึ้นในความคิด เซ็นคูพลันนึกถึงคำถามที่พ่อบุญธรรมมักจะถามตั้งแต่เขาขึ้นชั้นมัธยมต้น แม้เขาในตอนนั้นจะตอบแบบเดิม ๆ ก็ยังจะเซ้าซี้ถามแทบทุกครั้งที่โทรมา
‘เซ็นคู! แกมีสาวที่ชอบบ้างรึยังเนี่ย’
‘หา? ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอกเฟ้ย’
เรื่องที่ไม่คิดจะสนใจในยามที่โลกปกติสมบูรณ์ พอมาวันนี้ที่ยุ่งหัวหมุนกับเป้าหมายยักษ์ใหญ่อย่างการกอบกู้อารยธรรมกลับ—
ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายเสียจนเขาหลุดหัวเราะออกมา
เสียงของเบียคุยะหยุดลง เข็มกระดูกยังคงเคลื่อนไปตามร่องเสียง เป็นความเงียบสั้น ๆ ก่อนลิเลียนจะเริ่มร้องเพลง
“เออ…มีแล้วว่ะ”
ริมฝีปากเหยียดยิ้มเอ่ยพึมพำ ตอบคำถามเมื่อหลายพันปีก่อนกับแผ่นแก้วเย็นชืด
“โคตรผิดที่ผิดเวลา แถมยังไม่ใช่สาวอีกต่างหาก ถ้าแกรู้เข้าคงช็อคตาตั้งแหง”
.
.
สำหรับวันเกิดครั้งที่ 3 หลังจากหลุดออกมาจากหินนั้น ไม่ต้องอาศัยความจำของเซ็นคูอีกต่อไป เพราะเหตุการณ์ในปีก่อนหน้าทำให้มีคนรู้วันเกิดของเขาเพิ่มขึ้นมาทีเดียวหลายสิบคน
“อ๊ะ จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเกิดของเซ็นคูแล้วนี่นา”
ซุยกะโพล่งขึ้นขณะดูแสงอาทิตย์แรกของปี
5741.01.01
ดูเหมือนชาวหมู่บ้านอิชิกามิจะนับกิจกรรมนี้เป็นธรรมเนียมในเช้าวันขึ้นปีใหม่ไปเสียแล้ว ตัวต้นเรื่องอย่างเก็นจึงถือโอกาสนี้ชักชวนเหล่าคนยุคเก่าทั้งหลายมาร่วมวงด้วย คนที่เห็นดีเห็นงามก็มีไม่น้อย เป็นเหตุให้เซ็นคูถูกปลุกตั้งแต่ฟ้ามืดทั้งที่เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นก็ถูกกึ่งดันกึ่งลากมาที่เนินผาริมทะเลที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัด
“จริงด้วย อีก 3 วันสินะ” โคฮาคุที่ยืนข้างซุยกะพูดพลางหันมามองเขา
เซ็นคูหาววอดก่อนตอบรับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “เออ”
“ความสนใจเป็นศูนย์เลยเนอะ~”
เก็นยิ้มเจื่อน ในขณะที่ไทจุหัวเราะเสียงดัง “เซ็นคูก็เป็นแบบนี้แหละ!”
“ฮะฮ่า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน! วันเกิดของผู้นำฝั่งวิทยาศาสตร์ทั้งทีก็ต้องฉลองกันให้เต็มที่สิ” ริวซุยดีดนิ้ว “ฟรองซัวร์!”
คนรับใช้อันดับหนึ่งของกลุ่มนายทุนนานามิปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนไม่รู้แล้วโค้งคำนับ
“รับทราบ จะเตรียมการไม่ให้บกพร่องแน่นอน”
“ไม่อะ ไม่เห็นจำเป็นสักมิลเดียว”
ไม่มีใครสนใจเจ้าของวันเกิดที่ทำสายตาเหนื่อยหน่ายอยู่ด้านข้าง พอได้ยินคำว่า ‘ฉลอง’ ปุ๊บ กินโรกับโย รวมถึงหลายคนที่สะลึมสะลือง่วงงุนอยู่เมื่อครู่ก็ตาสว่างทันตา
“ถ้าพูดถึงฉลอง–”
“–ก็ต้องอาหาร! เหล้า!!!”
“ไม่ฟังกันเลยนี่หว่า”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าพวกที่ตื่นเต้นตาลุกวาวกันอยู่นี่ไม่ได้สนใจว่าจะเป็นงานเลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไร แค่ติดลมจากบรรยากาศสิ้นปีมาตั้งแต่งานวันคริสต์มาสก็เลยหาข้ออ้างกินดื่มกันก็เท่านั้น
“เอาน่า ริวซุยจังอุตส่าห์ออกปากเองทั้งทีก็ไม่ได้เสียหายนี่นา~ ทุกคนจะได้สนุกกันด้วย”
“...ก็นะ” อย่างที่เก็นว่า ในเมื่อมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งใจป้ำเป็นเจ้าภาพเองก็ไม่มีเหตุผลให้โต้แย้ง ในฤดูหนาวแบบนี้ก็ไม่มีงานใช้แรงงานให้ทำมากนัก ตราบใดที่เสบียงที่สำรองไว้ยังเพียงพอก็ไม่มีปัญหา แต่ในเมื่อฟรองซัวร์เป็นคนจัดการก็คงไม่จำเป็นต้องกังวล
“เอาเหอะ จะทำอะไรก็ตามใจ”
เสียงเฮดังอีกระลอกเมื่อได้รับไฟเขียวจากผู้นำนักวิทยาศาสตร์ เซ็นคูแคะหูพลางยิ้มอย่างระอา หางตาเหลือบไปเห็นโครงเรือบนชายฝั่งที่ถูกคลุมไว้เพื่อกันหิมะแล้วจึงนึกขึ้นได้
“ที่สำคัญกว่านั้น ริวซุย เดี๋ยวกลับไปแล้วขอดูโมเดลเรือที่แกกำลังต่อหน่อย”
“ไม่มีปัญหา! แต่ทำเสร็จไปได้แค่ 20% ล่ะนะ”
“เออ ไม่เป็นไร แค่อยากเห็นชิ้นส่วนคร่าว ๆ เท่านั้นแหละ—ว่าแต่ 20% แล้วเรอะ ไวเป็นบ้า”
การสร้างโมเดลเรือใบสัดส่วน 1:48 เป๊ะ ๆ จากความว่างเปล่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อีกฝ่ายได้แบบเรือไปไม่ครบเดือนก็ทำเสร็จไปถึง 20 เปอร์เซ็น สมแล้วที่ฉายาราชาเรือใบไม่ใช่แค่ราคาคุย
พอได้เห็นของจริง เขากลับพบว่าการประเมินของริวซุยถือว่าต่ำกว่าความเป็นจริงไปมาก เพราะ 20 เปอร์เซ็นต์ที่ว่าคือ ‘ต่อเสร็จ’ ไปแล้ว ในขณะที่ส่วนที่ยังต่อไม่เสร็จเองก็ตัดออกมาเป็นชิ้นส่วนเรียบร้อยทั้งหมด
“คึคึคึ เจ๋งเป็นบ้าเลยว่ะ แกเนี่ย”
ริวซุยเชิดคางรับคำชมอย่างไม่ถ่อมตัว ”แหงอยู่แล้ว คิดว่าฉันคนนี้เป็นใครกัน“
”สุดยอด~“ เก็นที่ตามมาด้วยเบิกตาค้าง ”อลังการกว่าที่จินตนาการไว้อีกแฮะ แล้วจากอันนี้เซ็นคูจังก็จะเอามาขยายขนาด 48 เท่าด้วยเจ้าเครื่องทำสำเนาแรงงานมนุษย์นั่นน่ะเหรอ“
“เออ ใช่แล้ว”
“เห ดูแล้วริวซุยจังคงจะต่อเสร็จก่อนสิ้นเดือนนี้แน่เลย…งั้นอาจจะต้องบ๊ายบายทีมขึ้นเรือเร็วกว่าที่คิดก็ได้เนอะ”
มือของเซ็นคูที่กำลังจับโมเดลกระตุก
มันเป็นช่วงเวลาครึ่งวินาทีที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป เขารู้สึกถึงสายตาของริวซุยที่เหลือบมองมาก่อนจะปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขาแค่นหัวเราะ “ยังอีกไกลเฟ้ย อย่าเพิ่งใจร้อนเป็นเด็ก ๆ ไปสิฟะ ยังไม่ทันได้หลอมเครื่องยนต์ออกมาสักชิ้น เส้นทางขนส่งแร่เหล็กยังไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ”
“อ๋า เครื่องยนต์~ พอพูดถึงแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไอ้นั่นก็ยังรวบรวมได้ไม่ครบเลยนี่นา ค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายให้นายทุนจอมโลภบางคนแถวนี้น่ะ”
เก็นเขม่นมองนายทุนคนนั้นที่ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับน้ำเสียงเสียดสี
“ฮะฮ่า! พยายามเข้าก็แล้วกัน ฉันให้สัญญาว่าจะไม่หมิ่นเกียรติพวกแกด้วยการลดค่าน้ำมันลงแม้แต่ดราโก้เดียว”
“อี๋~” นักอ่านใจย่นจมูกแล้วถอยกรูด “งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ ถ้าเกิดพวกเซ็นคูจังอุตส่าห์สร้างเรือเสร็จ แต่ออกเรือไม่ได้เพราะไม่มีค่าน้ำมันจ่ายคงขำไม่ออกแหง~”
“โฮ่ แสดงว่าวันนี้ก็วางแผนอะไรไว้แล้วสินะ น่าสนุกนี่! ขอบอกไว้ก่อนว่าภัตตาคารฟรองซัวร์เปิดขายชุดอาหารโอเซจิสำหรับเทศกาลปีใหม่”
“อะไรล่ะนั่น น่าอร่อยสุด ๆ—ไม่สิ โธ่ เพลามือบ้างก็ได้นะ~”
เก็นบ่นกระปอดกระแปดขณะเดินจากไป ถึงจะทำตัวเหมือนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เซ็นคูรู้ว่าอีกฝ่ายเตรียมการไว้สำหรับวันนี้มากพอตัว ทั้งเหล้าหวานจากข้าวสาลีที่ฝากให้เขาทำขึ้นมาวันก่อน กิโมโนสำหรับเช่าที่ขอให้ทีมยุสึริฮะช่วยทำ ไปจนกระทั่งทีมเด็กที่นัดแนะเอาไว้ให้ไปรีดไถแต๊ะเอียจากริวซุย เรียกได้ว่าเค้นทุกวิถีทางเพื่อหมุนกระแสเงินไปทางฝั่งพวกเขา
พยายามเต็มที่เสียจนเขาเผลอลืมไปอีกครั้งว่าเจ้าตัวจะไม่ขึ้นเรือ
เขาลอบถอนหายใจ ดึงสมาธิกลับมาโฟกัสอยู่ที่โมเดลเรือตรงหน้า แต่กลับสัมผัสได้ถึงสายตาของคนข้าง ๆ ที่มองมาอย่างชัดเจนจนคิ้วกระตุก
“...ยิ้มบ้าอะไรของแก”
“ ‘ฉันอยากได้แก ขึ้นเรือไปกับฉันเถอะ!’ “ ริวซุยดีดนิ้ว “—ประโยคนี้น่ะ แกยังไม่ได้พูดกับเก็นสินะ”
“ใครจะไปพูดฟะ”
เซ็นคูไม่ได้คิดจะปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเก็น
ในเมื่อหลักฐานชัดเจนทนโท่ขนาดนั้น ดึงดันไม่ยอมรับไปก็เสียเวลาเปล่า แต่จะทำอะไรกับมันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ความคิดนี้ยังคงไม่เปลี่ยน ในเมื่อเป้าหมายคือฟื้นฟูอารยธรรมกว่าสองล้านปีและช่วยเหลือมนุษยชาติเจ็ดพันล้านคน เขาก็ย่อมไม่สามารถเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่วิ่งไล่จีบคนที่ชอบได้
ทางที่สมเหตุสมผลที่สุด ก็คงเป็นการปล่อยมันทิ้งไว้
เช่นเดียวกับที่เขาทำมาตลอดกับความโกรธ ความกลัว และความเสียใจ—มันอาจลบทิ้งไม่ได้ง่าย ๆ แต่ถ้าแค่ปล่อยทิ้งไว้แล้วไปโฟกัสกับเรื่องที่จำเป็นก็คงไม่ยากอะไร
“แกพูดเองไม่ใช่เรอะว่าฝืนลากคนที่ไม่มีใจไปก็มีแต่จะพากันล่ม แล้วจะให้โน้มน้าวหมอนั่นไปทำไม”
“แน่นอนอยู่แล้วว่าการตัดสินใจสุดท้ายต้องขึ้นกับเจ้าตัว แต่การบอกความต้องการของแกออกไปก็เป็นอีกเรื่องนึงไม่ใช่รึไง” ริวซุยกล่าว “อีกอย่าง สัญชาตญาณนักเดินเรือของฉันมันบอกน่ะสิ ว่าหมอนั่นไม่ได้ ‘ไม่อยากไป’”
เซ็นคูขมวดคิ้ว
“จะบอกว่าความจริงแล้วหมอนั่นอยากขึ้นเรือเรอะ”
“ฮะฮ่า! น่าเสียดายที่การพิสูจน์เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของกัปตันน่ะนะ”
“เหอะ แล้วจะบอกว่าเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์รึไง”
“ผิดแล้ว” ริวซุยยกมุมปาก “เป็นหน้าที่ของคนที่อยากให้หมอนั่นอยู่ข้าง ๆ ต่างหาก”
เซ็นคูหรี่ตา
หมอนี่…รู้สินะ
เมื่อนึกถึงท่าทีของอีกฝ่ายตอนที่เห็นปฏิกิริยาของเขาตอนที่รู้ว่าเก็นจะไม่ขึ้นเรือแล้ว เป็นไปได้ว่ารู้ตั้งแต่ตอนที่ตัวเซ็นคูเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าเพราะเขาดูออกง่ายปานนั้น หรือเพราะสัญชาตญาณนักเดินเรือสุดโกงที่เจ้าตัวชอบอ้างถึงบ่อย ๆ กันแน่
“โห~ ท่านกัปตันอยากรับบทเป็นพ่อสื่อด้วยรึไง น่าเสียดายที่ไม่จำเป็นสักมิลเดียว ฉันสนใจแค่ทางที่สมเหตุสมผลมากกว่าเท่านั้นแหละ”
ส่วนเรื่องยุ่งยากไร้เหตุผลอย่างความรู้สึกของตัวเองน่ะ เขาไม่คิดจะเอามาข้องเกี่ยวด้วย
“สมเหตุสมผล—สินะ” ชายหนุ่มทวนคำพูดของเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจดังหึ “แกคิดแบบนั้นจริงเรอะ”
“หา หมายความว่าไงฟะ”
“แกคิดว่าการที่เก็นอยู่ทีมพัฒนามนุษยชาติมันสมเหตุสมผลกว่าจริงเรอะ”
“แล้วไม่ใช่รึไง”
“ก็ไม่ผิด อย่างอุเคียวก็คงมองแบบนั้นเหมือนกัน ฉันแค่คิดว่าในสถานการณ์นี้ที่ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหน ถ้าเป็นแกตามปกติคงจะลากนักเจรจามือฉมังอย่างหมอนั่นไปด้วยก็เท่านั้น”
“...!”
ริวซุยจ้องตาเขาและเอ่ยคำพูดตรงเผ็งและทิ่มแทงยิ่งกว่ากระสุนปืน ด้วยรอยยิ้มไร้ซึ่งความลังเล
“ฉันเห็นเหมือนว่าแกกำลังหนีจากความต้องการของตัวเองอยู่มากกว่า”
“ฉันไม่ได้—”
เซ็นคูเงียบเสียงลงกลางประโยค
ตาชั่งที่เคยคิดว่าเป็นกลาง อาจจะถูกความกลัวและกลไกปกป้องตนเองถ่วงให้เอียงข้าง
สัญญาณจากตัวตนลึกลับที่อาจเป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นหิน การเดินทางที่ไม่รู้ว่าจะพบอะไรในอีกฟากของทะเล ความสามารถด้านการเจรจาต่อรองของนักอ่านใจย่อมสำคัญต่อทีมสำรวจโลกมาก
—แต่นั่นเป็นข้ออ้างที่สมองของเขาสร้างขึ้นมาเพียงเพราะอยากให้อีกฝ่ายอยู่ใกล้ตัวหรือเปล่า
ในสถานการณ์ที่กำลังต่อสู้หลักต้องเดินทางไปไกล นักอ่านใจควรจะอยู่ที่นี่เพื่อควบคุมฝูงชน และเจ้าตัวก็จะปลอดภัยกว่าออกทะเลไปด้วยกัน
—แต่นั่นเป็นเพราะเขาอยากหนีจากความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้…เพราะกลัวว่าตัวเองจะควบคุมมันไม่ได้หรือเปล่า
เขาเลือกที่จะไม่เอาความรู้สึกมาตัดสินใจ แต่สมองที่ติดบั๊กนี้อาจจะไม่ให้เขาเป็นฝ่ายเลือกตั้งแต่แรกแล้ว
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่อิชิกามิ เซ็นคู ไม่สามารถเชื่อใน ‘ความเป็นเหตุเป็นผล’ ของตนเองได้
ในวินาทีที่ตระหนักว่าจุดยืนที่เคยยึดไว้อย่างมั่นคงมาตลอดทั้งชีวิตกำลังสั่นคลอน สำหรับเขาแล้วมันน่ากลัวยิ่งกว่ารหัสมอร์สน่าขนลุกจากวายแมนเสียอีก
“ในเมื่อปฏิเสธทันทีไม่ได้ ก็แปลว่าไม่แน่ใจใช่มะ”
สีหน้าเหมือนกับมองทะลุปรุโปร่งของริวซุยน่าหมั่นไส้เสียจนชวนให้หงุดหงิด แต่ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือตัวเขาเองที่เถียงไม่ออกสักคำ
“ผู้นำที่ยังมีความลังเลติดค้างในใจไม่ส่งผลดีต่อลูกเรือหรอกนะ แกไปจัดการให้ชัดเจนก่อนออกเรือจะดีกว่า นี่เป็นคำแนะนำของกัปตัน”
เซ็นคูกำหมัดแน่น แล้วสบถอย่างพาลโมโหใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าแกเองอยากให้หมอนั่นขึ้นเรือก็เลยมาไล่ต้อนฉันเหรอฟะ”
“อะฮ่า! แน่นอนอยู่แล้ว ฉันอยากให้ขึ้นเรือกันไปทุกคนนั่นแหละ!”
“ถ้าเรือล่มขึ้นมา มนุษยชาติก็ได้จบสิ้นกันหมดสิเฟ้ย”
“แล้วก็” ริวซุยผละสายตาหันไปมองโมเดลเรือที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ น้ำเสียงนุ่มนวลลงเล็กน้อย “อยากได้แกในสภาพที่ดีที่สุดด้วยน่ะนะ”
เซ็นคูนิ่งอึ้ง พลันตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองเคยกล่าวกับโคฮาคุถึงชายตรงหน้าว่าเป็น ’คนโลภมากที่สุดในโลก’
ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาของตนเองและคนอื่น ก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ทั้งนั้น—สินะ
ความขุ่นเคืองดับมอดลง ทิ้งไว้เพียงขี้เถ้าของความขัดข้องต่อตนเองที่ควบคุมไม่ได้ดั่งใจ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“...เหอะ นับรวมฉันเป็นหนึ่งในฮาเร็มของแกด้วยรึไง หยะแหยงว่ะ”
.
.
[จัดการให้ชัดเจน]
ริวซุยพูดเหมือนมันง่ายเสียเหลือเกิน แต่ต้องทำอย่างไรกันเล่าถึงจะแก้บั๊กในสมองตัวเองได้ เดิมทีจะให้เค้นวิธีแก้จากสมองที่ติดบั๊กนี่ก็ย้อนแย้งกันเองอยู่แล้ว เหมือนให้เสิร์ชกูเกิ้ลหาวิธีแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไม่ได้อย่างนั้นแหละ
แต่ครั้นจะทำเรื่องสมเหตุสมผลอย่างการเอ่ยปากถามท่านกัปตันที่ให้คำแนะนำนี้มา—ให้ตายเขาก็ไม่เอาด้วย
สุดท้าย ก็เลยติดแหงกอยู่แบบนี้
ถึงจะมีเวลาอีกนานก่อนจะได้ออกเรือ แต่ความลังเลมีแต่จะทำให้เสียเวลา ถ้ามัวแต่ยึกยักไปมา นอกจากเวลาที่เสียไปเปล่า ๆ แล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานก็ลดลงอีกด้วย ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดถึงจะมุ่งไปสู่เป้าหมายถัดไปได้ เพราะถ้าเลือกแล้วไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรก็มีแต่ต้องหาวิธีไปต่อก็เท่านั้น
เซ็นคูรู้หลักการข้อนั้นดีและยึดถือปฏิบัติมาตลอด พอครั้งนี้ทำไม่ได้จึงหงุดหงิดเป็นพิเศษ
ในระหว่างนั้น งานฉลองที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับวันเกิดของเขาสักเท่าไรก็มาถึงเสียก่อน
5741.01.04
“เซ็นคู สุขสันต์วันเกิด!!!”
“โอ้—” เจ้าของวันเกิดตอบรับแกน ๆ ต่อเสียงประสานอวยพรของทุกคน เขาเมินเสียงโวยทำนองว่า ‘มีอารมณ์ร่วมหน่อยสิ!’ จากตรงโน้นตรงนี้แล้วยกแก้วขึ้นดื่ม
ไม่นานนักคำบ่นก็ถูกกลืนไปกับเสียงหัวเราะและบรรยากาศรื่นเริง ถ้าพูดอย่างเป็นกลาง งานฉลองวันเกิดครั้งนี้ก็ยิ่งใหญ่และสมกับเป็นงานฉลองที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในโลกยุคหินแล้ว งานเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่าย อาหารและขนมหลากชนิดถูกจัดวางในรูปแบบบุฟเฟต์ เครื่องดื่มพรั่งพร้อมทั้งแบบที่มีและไม่มีแอลกอฮอล์ เมื่อผ่านมือของฟรองซัวร์แล้วรสชาติก็ไม่แพ้ภัตตาคารชื่อดังในโลกยุคเก่า แทบจะเชื่อไม่ลงว่าสรรสร้างขึ้นมาจากเสบียงที่สะสมไว้เพื่อฤดูหนาว
จะเสียก็แต่ศูนย์กลางของงานวันเกิดที่ดันไม่อยู่ในอารมณ์เฉลิมฉลอง
เคราะห์ดีที่ตัวเซ็นคูตามปกติก็ไม่ใช่ประเภทที่จะตื่นเต้นดี๊ด๊ากับบรรยากาศทำนองนี้อยู่แล้วจึงไม่ได้ดูผิดสังเกตมากนัก เขากินดื่มและพูดคุยกับคนที่เข้ามาทักราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากผ่านไปสักพักความวุ่นวายก็เริ่มก่อตัวตามระดับการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เขาอาศัยจังหวะนั้นแอบปลีกตัวไปทำงานต่อในห้องแล็บที่วันนี้ไม่มีคนอื่นใช้งาน
เพียงแต่ทำงานไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกคนที่ไม่คาดคิดพบตัวเข้าจนได้
“เซ็นคู!!! มาอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย!”
เซ็นคูเอานิ้วอุดหู หันไปมองเจ้าของเสียงดังหมื่นล้านเดซิเบลที่ยืนอยู่หน้าประตู
“เสียงดังเกินไปแล้วเฟ้ย เจ้ายักษ์”
“โทษที!” ไทจุหัวเราะฮ่า ๆ ด้านข้างคือยุสึริฮะที่ยิ้มแหย เป็นแพ็คคู่ที่เห็นจนชินตา ก่อนที่เขาจะได้ถามว่าทั้งสองคนมีธุระอะไรถึงตามหาเขา ไทจุก็มองกองกระดาษแปลนและเครื่องไม้เครื่องมือที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นก่อน “ทำงานอยู่เหรอ มีอะไรให้ช่วยเปล่า”
“ดะ เดี๋ยวสิ ไทจุคุง” ยุสึริฮะรีบดึงชายเสื้อของคนตัวสูงกว่า แล้วหันมาหาเขาด้วยอาการเลิ่กลั่กเล็กน้อย “เซ็นคูคุง…เอ่อ ยุ่งอยู่เหรอ”
เขาเลิกคิ้วกับท่าทีประหลาดของเพื่อนสนิท แต่ก็วางดินสอถ่านในมือลง
“เปล่า ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น”
“โอ้! ถ้างั้นมาดื่มกันเถอะ”
“หา?”
เขางุนงงกับคำชวนไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือของทั้งสองคนคือถาดใส่ขวดและแก้ว ซึ่งขวดนั่นดูยังไงก็เป็น—
เขาตกตะลึงจนหลุดขำพรืด “โห เด็กดีอย่างพวกแกนึกครึ้มยังไงถึงมาชวนตั้งวงเหล้าฟะ”
“ก็เห็นทุกคนดื่มกันท่าทางสนุก ดูแล้วน่าจะอร่อยกว่าไวน์ที่พวกเราทำเองนะ!”
“เออ ฝีมือฟรองซัวร์นี่หว่า รสชาติก็คงดีกว่าไอ้ไวน์องุ่นเปรี้ยวนั่นหมื่นล้านเท่าแหงล่ะ”
“แล้ววันนี้เซ็นคูก็อายุครบ 18 ด้วยใช่มั้ยล่ะ! โอกาสเหมาะพอดิบพอดีเลยนี่นา พอออกเรือแล้วอาจจะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีกก็ได้!”
วันนี้ไทจุพูดจาสมเหตุสมผลเสียจนน่าแปลกใจอยู่นิดหน่อย แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเพื่อนหัวทึบของเขาก็ยังจำข้อมูลง่าย ๆ ผิดเหมือนเคย
“ตามกฏหมายญี่ปุ่นแล้วต้องอายุ 20 ต่างหากเฟ้ย แต่ก็ช่างเหอะ” เขาเอ่ยแก้อย่างไม่ใส่ใจ
“ปีนี้ฉันเพิ่งจะขึ้น 17…แต่แค่ชิมนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
“คึคึคึ หายากชะมัด”
แล้ววงเหล้าขนาดย่อมก็ถูกตั้งขึ้นไม่ไกลจากห้องแล็บ พวกเขาคุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ทั้งเรื่องเครื่องยนต์เรือที่กำลังออกแบบ เรื่องงานของทีมใช้แรงกายช่วงนี้ เรื่องความคืบหน้าของผ้าใบเรือและผลงานอื่น ๆ ของทีมหัตถกรรม ไม่ว่าเรื่องไหนก็ไม่ใช่หัวข้อพูดคุยที่นิยมในวงเหล้า แต่เป็นบทสนทนาปกติสำหรับพวกเขาสามคน
หากว่าโลกไม่ได้กลายเป็นหิน พวกเขาก็คงจะมารวมตัวกันหลังเรียนจบและพูดคุยกันแบบนี้เหมือนกัน
ขณะที่ยุสึริฮะกำลังเล่าเรื่องกิโมโนจากผ้าป่านที่เพิ่งจะเย็บขึ้นมาช่วงปีใหม่อย่างออกรส ไทจุก็ไหลลงไปกองที่พื้นก่อน
ไม่ผิดจากที่คาด เพราะยุสึริฮะดื่มไปเพียงเล็กน้อยอย่างที่พูดไว้จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนเซ็นคูคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มลงไปไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ถึงขั้นเมาไม่รู้เรื่อง ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาเคยทดลองว่าตนเองทนได้ในระดับไหน ต่างจากไทจุที่ดื่มแบบไม่สนใจลิมิตใด ๆ
“หมดสภาพไปแล้วเรอะ”
“ดูเหมือนจะใช่นะจ๊ะ”
เด็กสาวหัวเราะคิกขณะช่วยจัดท่าทางให้อีกฝ่ายนอนสบายขึ้น ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ ๆ ไทจุก็ผุดลุกขึ้นนั่ง
“โอ้—!!! เซ็นคู! ได้ยินจากเก็นแล้วนะ! ถ้ามีอะไรที่พวกเราช่วยได้ละก็บอกมาเลย!!!“
“หวะ หวา ไทจุคุง เรื่องนั้นน่ะ—”
ยุสึริฮะยังห้ามไม่ทันเสร็จ อีกฝ่ายก็กลับลงไปฟุบกับพื้นตามเดิมและขยับปากหงุบหงับอะไรฟังไม่ได้ศัพท์ประมาณว่า ‘ต่อให้ช่วยไม่ได้ก็จะช่วย’ ดูเหมือนเมื่อครู่จะแค่ละเมอเท่านั้น
ชื่อของคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ดึงดูดความสนใจของเขา เซ็นคูส่งสายตาตั้งคำถามไปยังอีกคนที่ยังมีสติครบถ้วนดีอยู่ เด็กสาวสบตากับเขาพลางยิ้มเจื่อน
“...ความจริงเขาบอกให้เก็บเป็นความลับนะ คือว่าเก็นคุงบอกมาน่ะ ว่าช่วงนี้เซ็นคูคุงเหมือนจะมีเรื่องกังวลอยู่ ถ้าชวนคุยเปลี่ยนบรรยากาศหน่อยอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“อ้อ” เซ็นคูเท้าคางแล้วทอดสายตาออกไป ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร “ก็คิดอยู่ว่ามันแปลก ๆ เจ้าไทจุพูดจาสมเหตุสมผลเกิน อย่างกับไปท่องคำพูดใครบางคนมางั้นแหละ”
ยุสึริฮะกระพริบตามองปฏิกิริยาของเขาแล้วคลี่ยิ้ม
“ถ้าเขามาร่วมวงด้วยกันก็คงดีเนอะ ฉันก็ชวนแล้วแหละ แต่เขาบอกว่าถ้ามีแค่ไทจุคุงกับฉันที่เป็นเพื่อนกับเซ็นคูคุงมาตั้งแต่โลกยุคเก่าน่าจะได้ผลดีกว่า”
จะว่าไปแล้ว เก็นไม่ค่อยเข้ามาหาเขาเวลาอยู่กับสองคนนี้สักเท่าไร เซ็นคูเพิ่งจะมาสังเกตเอาตอนนี้
“หมอนั่นชอบคิดเยอะไม่เข้าเรื่อง”
“นั่นสิ” เด็กสาวหลุบตาลง “ความจริงแล้ว…ตรงกันข้ามเลยรึเปล่านะ”
”หา?“
ยุสึริฮะไม่ได้อธิบายต่อ แต่กลับสบตากับเซ็นคูแล้วถามกลับ
“เรื่องที่เซ็นคูคุงกลุ้มใจอยู่ตอนนี้ พวกเราพอจะช่วยได้บ้างมั้ย”
“ไม่ได้เลยสักมิลเดียว”
เขาตอบหน้าตาเฉยโดยใช้เวลาคิดไม่ถึงครึ่งวินาที ใช่ว่าเขาอยากปิดบัง แต่ในสถานการณ์ที่ตัดสินใจว่าจะปล่อยความรู้สึกนี้ทิ้งไว้เฉย ๆ จะบอกใครไปก็เท่านั้น
ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย เขาคงถูกบ่นเรื่องที่พูดจาขวานผ่าซากไม่รู้จักรักษาน้ำใจเพื่อน แต่ยุสึริฮะเคยชินกับท่าทีของเซ็นคูมาตั้งแต่ชั้นประถมจึงยิ้มรับอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นสิเนอะ ไม่งั้นเซ็นคูคุงคงขอให้ช่วยไปแล้ว”
”เออ ฉันไม่เกรงอกเกรงใจพวกแกหรอกเฟ้ย“
“เพราะงั้น คนที่อยู่ตรงนี้ควรจะเป็นเก็นคุงมากกว่ารึเปล่าน้า—เผลอคิดแบบนั้นขึ้นมาล่ะ”
ดวงตาสีแดงตวัดขวับ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มของยุสึริฮะ ไหล่ของเขาก็ผ่อนลง เพราะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะซักไซ้ไล่เลียงอะไร เพียงแค่เป็นห่วงอย่างบริสุทธ์ใจเท่านั้น
…ยัยนี่ก็รู้อยู่แล้วหรอกเรอะ
เซ็นคูเกาหลังคอแล้วยกถ้วยในมือขึ้นจิบ ยุสึริฮะเป็นคนหนึ่งที่รู้จักเขาดี ไหวพริบก็ไม่เลว แถมพวกผู้หญิงก็มักจะไวต่อเรื่องจำพวกนี้ ก็คงไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะสังเกตได้ถึงความรู้สึกที่เขามีให้เก็น เพียงแต่เซ็นคูเริ่มจะสงสัยตงิด ๆ แล้วว่ามีกี่คนกันแน่ที่รู้เรื่องนี้
“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่รู้จะพูดอะไรกับหมอนั่น”
“ยังไม่รู้…เหรอ” ยุสึริฮะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะคิก “จริงด้วย เหมือนตอนนั้นเลย”
“ตอนนั้น?”
“เพิ่งนึกขึ้นมาได้น่ะ ว่าเซ็นคูคุงทำหน้าเหมือนตอนนั้น…ตอนที่จู่ ๆ ก็ไม่คุยกับไทจุคุง”
“มีเรื่องพรรค์นั้นด้วยเรอะ”
“มีสิ! ฉันกระวนกระวายใจแทบแย่เลยจำได้แม่นเลยละ” เด็กสาวทำหน้าขึงขัง “ตอนม.ต้นน่ะ มีอยู่วันนึงที่เซ็นคูคุงแทบไม่คุยกับไทจุคุงเลย ก็ไม่ถึงกับเมินหรอกนะ แต่ก็ถามคำตอบคำ ฉันงี้เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกไปหมด แต่ตัวไทจุคุงเองไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดอะนะ…”
ยุสึริฮะยิ้มแห้ง ทอดสายตาไปยังความทรงจำอันห่างไกล
“แล้วพอเลิกเรียน ตอนที่ไทจุคุงกำลังจะตามไปช่วยสร้างจรวดเหมือนทุกที เซ็นคูคุงก็หันมาบอกว่า…“
‘จากนี้ไปแกไม่ต้องมาช่วยฉันแล้วก็ได้’
พอเล่ามาถึงตรงนี้ สมองของเซ็นคูถึงเพิ่งดึงภาพเหตุการณ์ที่ว่าขึ้นมาจากฮิปโปแคมบัสได้
โถงทางเดินที่อาบย้อมด้วยสีส้มแดง ใบหน้าเป็นกังวลของยุสึริฮะที่ยืนอยู่ด้านหลัง พอนึกย้อนดูเธอคงจะเป็นห่วงมากจนถึงกับยอมโดดชมรมหัตถกรรมสุดที่รัก ตรงหน้าคือเจ้ายักษ์ที่ยืนงงไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง บนใบหน้าเหรอหรานั้นมีผ้าก๊อซชิ้นใหญ่ติดอยู่บนหน้าผาก
“…ตอนนั้นไทจุคุงเพิ่งจะบาดเจ็บมาสินะ”
“เออ ก็อุบัติเหตุจากการทดลองนั่นแหละ ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย”
ที่ผ่านมาพวกเขาเจอเรื่องผิดพลาดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในกระบวนการสร้างจรวดและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ไอ้นี่ระเบิดบ้างละ ไอ้นั่นไหม้บ้างละ เคยได้แผลก็บ่อย จนเซ็นคูเชี่ยวชาญการทำปฐมพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ
เพียงแต่ ครั้งนั้นไทจุยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไปหน่อย เซ็นคูร้องเตือนช้าไปนิด และปากแผลก็ใหญ่กว่าที่เคย แม้เจ้าคนถึกทนเกินมนุษย์มนาจะลุกขึ้นวิ่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เลือดก็ไหลไม่หยุดจนเขาต้องลากหมอนั่นไปเย็บแผลที่คลินิกใกล้บ้าน แน่นอนว่าผลที่ตามมาก็คือการถูกโทรเรียกผู้ปกครอง
พวกเขาถูกด่าเปิงยกใหญ่—ถ้าเป็นแบบนั้นยังจะดีกว่า
ยายของไทจุมารับที่คลินิก กอดหมอนั่นแล้วร้องไห้บอกว่า ‘อย่าทำให้ยายต้องเป็นห่วงนักสิ‘
หลังจากดุเด็กทั้งสองคนอีกนิดหน่อย หล่อนก็พาหลานชายกลับบ้าน คำตำหนิด้วยความห่วงใยเหล่านั้นไม่นับเป็นอะไรเลยสำหรับเขาที่สร้างความเสียหายให้ทรัพย์สินสาธารณะจนถูกดุด่ามานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันกลับติดค้างในสมองของเซ็นคูอย่างสลัดไม่หลุด
ทั้งน้ำตาของหญิงชรา และสีหน้าลุกลี้ลุกลนของเพื่อนสนิทที่พยายามปลอบคุณยาย
เขาจำเรื่องที่ตนเองไม่คุยกับไทจุไม่ได้ แต่พอจะจำได้ว่าต่อจากนั้นพูดกับหมอนั่นว่าอะไร
‘โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้ว ไม่เห็นต้องทำตัวติดกันเป็นตังเมนี่หว่า แกลองเอาพลังกายล้นเหลือนั่นไปใช้ประโยชน์กับพวกชมรมกีฬาดูก็ไม่เลวไม่ใช่เรอะ’
ไทจุไม่เคยถนัดเรื่องวิทยาศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ขึ้นมัธยมมาก็ถูกชมรมสายกีฬาทั้งหลายตามตื๊อไม่หยุดหย่อน คงเป็นเพราะส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดผนวกกับพละกำลังที่เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างเทียบไม่ติด ถ้าเลิกช่วยเขาสร้างจรวดแล้วเอาเวลาไปเข้าชมรมคงเหมาะสมกว่า
—และปลอดภัยกว่า
ผู้ปกครองคนไหนก็คงยินดีเห็นลูกหลานนิ้วซ้นจากการเล่นบาส มากกว่าถูกแบตเตอรี่ระเบิดใส่หน้ากันทั้งนั้น
“นั่นไม่ใช่ความใจดีอะไรหรอกเฟ้ย ฉันแค่บอกทางเลือกที่สมเหตุสมผลก็เท่านั้น ยังไงซะเจ้าทึ่มนี่ก็ไม่มีทางฉุกคิดได้หมื่นล้านเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องช่วยโปรเจ็กต์ของฉัน”
“อื้ม แต่ตอนนั้นไทจุคุงน่ะ…”
เซ็นคูและยุสึริฮะพ่นหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่อมา
‘ไม่เอา!!!!!’
เสียงตะโกนลั่นของไทจุดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน ทำเอาคนที่อยู่ในห้องเรียนพากันโผล่หน้าออกมาดูกันให้พรึบ ในขณะที่พวกเขาซึ่งถูกคลื่นเสียงซัดเข้าเต็มหน้าได้แต่ยืนช็อคพร้อมกับแก้วหูที่ดังวิ้ง
“ไม่ว่าเซ็นคูคุงจะพูดอะไรก็เอาแต่บอกว่า ‘ไม่เอา!’ ท่าเดียวเลยเนอะ จนแม้แต่เซ็นคูคุงยังต้องยอมแพ้เลย“
”ก็เห็นแล้วนี่หว่าว่าพูดไปก็เสียแรงเปล่า“
ไม่ว่าจะยกเหตุผลเรื่องที่ความถนัดของไทจุเหมาะกับชมรมสายกีฬามากกว่า หรือเรื่องที่เซ็นคูมีแรงงานจากชมรมวิทยาศาสตร์มาให้ใช้งานแทนแล้ว คนดื้อด้านอย่างหมอนั่นก็ไม่ฟังสักนิด สุดท้ายเขาจึงปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ แล้วหันมาเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในการทดลองขึ้นเล็กน้อย และไปหัดเย็บแผลเผื่อเอาไว้แทน
“รับรู้ได้เลยล่ะว่าเซ็นคูคุงตั้งใจคิดเพื่อไทจุคุงอย่างจริงจัง แต่ว่าฉันเข้าใจไทจุคุงนะ พวกเราเข้าใจหลักการวิทยาศาสตร์ยาก ๆ ที่เซ็นคูคุงพูดได้ไม่ถึงครึ่งก็จริง แต่ตอนที่ช่วยกันสร้างจรวดน่ะ สนุกมากเลยละ”
ยุสึริฮะอมยิ้ม
“อีกอย่าง ฉันว่าไทจุคุงก็แค่ชอบเซ็นคูคุงมาก ก็เลยอยากอยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ”
เซ็นคูทำสีหน้ารังเกียจสุดชีวิต “พูดอะไรน่าขนลุกเป็นบ้า”
เด็กสาวหัวเราะคิก หลุบตาลงมองคนที่นอนน้ำลายยืดอยู่บนพื้น
“ยืนกรานในสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจเลือกแล้วอย่างเต็มปากเต็มคำอยู่เสมอ ไม่เคยลังเลสักนิด—นั่นก็เป็นข้อดีของไทจุคุงแหละเนอะ”
แววตาของเธอที่สะท้อนภาพของไทจุนั้นนุ่มนวลเสียจนคนมองจั๊กจี้ เซ็นคูเสสายตาหลบพลางยกมุมปาก
คงมีแต่ยัยนี่เท่านั้นละมั้งที่เห็นความดื้อแพ่งเถรตรงสุดขั้วของเจ้ายักษ์ว่าเป็น ‘ข้อดี’
ให้ตาย เป็นสามีภรรยาคู่เหมือนซะจริง
ยุสึริฮะหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมา ดูท่าคงจะรู้ตัวว่าพูดเยอะเกินจำเป็น
“ประเด็นไม่ใช่เรื่องนี้นี่นา~ พอนึกถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วก็เพลินไปหน่อย” เธอหัวเราะแหะ “ที่จะพูดก็คือ สองสามวันมานี้เซ็นคูคุงทำหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอด แล้วก็…ไม่ค่อยคุยกับเก็นคุงเลย ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าคล้ายกับตอนนั้นเลยน้า—น่ะ”
“อ้อ”
จริงอยู่ว่าสถานการณ์มีความคล้ายคลึงกัน เพราะในกรณีของไทจุ เขาก็มีความลังเลอยู่บ้าง อย่างไรเสียเขาก็เคยชินกับการมีพลังกายไร้ขีดจำกัดของเจ้ายักษ์ไว้ใช้งานไปแล้ว แต่ที่แตกต่างกันก็คือครั้งนั้นสมองของเขาไม่ได้ติดบั๊ก จึงใช้เวลาไม่นานในการตัดสินว่าทางเลือกที่สมเหตุสมผลคืออะไร
แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะคิดไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะคนที่เลือกก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี
คนที่มีสิทธิ์เลือก—
เซ็นคูเบิกตาโพลง แก้วในมือหยุดนิ่ง ก่อนเขาจะวางมันลงแล้วเอามือกุมขมับ
“เซ็นคูคุง?”
“…คึคึคึ ท่าทางสมองฉันจะเพี้ยนไปแล้วจริง ๆ ฟ่ะ”
“เอ๋?”
ทั้งที่เจ้าริวซุยก็เฉลยออกมาตรง ๆ ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ดันคิดวกไปวนมาให้สับสนไปเองอยู่ตั้งนานสองนาน
ทันทีที่เข้าใจก็ราวกับน้ำหนักของความคิดที่ทับถมมาหลายวันพลันหายวับไป และฟันเฟืองที่ถูกกดทับจนทำงานขัดข้องกลับมาลงล็อค มันเริ่มหมุนด้วยความเร็วที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
เขาไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเก็น แต่เมื่อนึกย้อนดูถึงพบว่าวันนี้ทั้งวันพวกเขายังไม่ได้คุยกันเลยจริงอย่างที่ยุสึริฮะบอก แม้แต่ใบหน้าก็…ได้มองชัด ๆ ครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ
สองวันก่อน? สามวันก่อน?
เอาเถอะ จะเมื่อไหร่ก็ช่าง คิดไปก็ไม่ได้อะไร ที่สำคัญก็คือ—
ระดับของแอลกอฮอล์ไม่ได้สูงถึงขั้นที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว แต่ดูเหมือนมันจะสูงพอที่จะกดการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมความยับยั้งชั่งใจ
—อยากเห็นหน้าชะมัด
พอเซ็นคูอนุญาตให้ความรู้สึกนั้นโผล่พ้นขึ้นมา ความคิดที่เคยเก็บฝังไว้อย่างดีก็พากันท่วมทะลักตามออกมาราวกับจุกก๊อกถูกดึงออก
ได้กินเหล้าหวานรึเปล่า ตอนชิมครั้งแรกทำสีหน้าแบบไหน
ฤดูหนาวแบบนี้ไปหาดอกไม้มาได้ยังไง คงไม่ได้เข้าป่าไปคนเดียวหรอกใช่มั้ย
ปีนี้หนาวกว่าปีที่แล้ว ชุดคลุมตัวเดิมยังอุ่นพอรึเปล่า
งานเลี้ยงเมื่อตอนบ่ายนั่งอยู่ตรงไหน ยังไม่ได้ยินเสียงเลยสักคำ
บ้าชะมัด แค่ไม่กี่วันก็สะสมไว้มากขนาดนี้เชียวเรอะ
ท่ามกลางความคิดที่เหมือนจะวิ่งสะเปะสะปะนั้น ความจริงแล้วมันหมุนวนกลับมาที่เดิม
[ อยากเจอ ]
อยากเห็นหน้า ตอนนี้เลย
แล้วเซ็นคูก็ผุดลุกขึ้นยืนทั้งอย่างนั้น
“เซ็นคูคุง? จะไปไหนเหรอ”
เขาตอบอย่างไม่ประดิษฐ์คิดถ้อยคำใด ๆ “ไปหาเก็น”
“วะ…ว้าว จะไปตอนนี้เลยเหรอ” ยุสึริฮะอ้าปากหวอ ก่อนดวงตาจะเปล่งประกายขึ้น แล้วพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “อื้ม ๆ ไปเลยจ้ะ! ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันแบกไทจุคุงไปนอนเอง!”
“บ้าเรอะ ไม่ไหวหรอกเฟ้ย” หรือเขาควรพิจารณาใหม่เรื่องที่ยัยนี่ยังไม่เมา “เดี๋ยวฉันเรียกคนมาช่วย”
.
.
เก็นไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงฉลองแล้ว เซ็นคูถามเจ้าพวกขี้เหล้าที่ยังดื่มกันไม่เลิกก็ไม่มีใครเห็น เขาเดาะลิ้นพลางกวาดสายตาหาคนที่น่าจะพึ่งพาได้ อย่างเช่นอุเคียวหรือ—
เขารีบสาวเท้าเข้าไปหาเมื่อเจอเป้าหมาย
“โคฮาคุ!”
เจ้าของค่าสายตา 11.0 หันมาตามเสียงเรียก ดูเหมือนเธอกำลังคุยกับพี่สาวจึงไม่ได้ดื่มเหล้า
“เซ็นคู นายหายไปไหนมาน่ะ เป็นเจ้าของวันเกิดแท้ ๆ”
เขาไม่ตอบคำถามแล้วเข้าประเด็นทันที “เห็นเก็นรึเปล่า”
“เก็น? ตามหาเจ้าหมอนั่นไปทำไม”
“เหอะน่ะ ตกลงเห็นรึเปล่า”
โชคดีที่นัยน์ตาเหยี่ยวของหล่อนจับได้ว่านักอ่านใจเดินหายไปทางทิศไหน เขาขอบคุณอีกฝ่ายแล้วถือโอกาสฝากให้คนที่มีกำลังเหลือเฟืออย่างหล่อนไปช่วยยุสึริฮะแบกไทจุอย่างไม่เกรงใจแล้วเดินมาตามทิศที่โคฮาคุบอก
มันคือทางเดินไปยังเนินเขาที่มองเห็นทะเล จุดเดียวกับที่พวกเขามาดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่ที่ผ่านมา ลมหนาวที่ปะทะใบหน้าตลอดทางทำให้สติแจ่มชัดขึ้น
สิ่งแรกที่เซ็นคูเห็นเมื่อไปถึงคือแผ่นหลังในเสื้อคลุมหนาสีม่วง
เก็นกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนบริเวณเนินเขาที่ยื่นออกไป รอบข้างไม่มีวี่แววของผู้คน ขอบฟ้าเริ่มมีสีเหลืองส้มแซม ดูจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์แล้วคงจะตกดินในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ภาพของนักอ่านใจที่ไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนทั้งดูแปลกตาและชวนให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด เขาส่งเสียงเรียกออกไป
“ไง”
เก็นยืดหลังขึ้นแล้วหันมาด้วยสีหน้างุนงง “เซ็นคูจัง? ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
เซ็นคูสาวเท้าเดินไปถือวิสาสะนั่งข้างอีกฝ่าย เว้นระยะห่างสามสิบเซนติเมตร
“เจ้าไทจุเมาหลับไปแล้ว”
เก็นเอียงคอกับคำตอบที่ฟังดูไม่ตรงคำถามสักเท่าไร ก่อนจะยกยิ้ม
“อ๋า~ ไทจุจังหลุดปากไปซะแล้วเหรอ”
“เจ้ายักษ์นั่นเก็บความลับเป็นที่ไหนล่ะ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เรื่องเหล้าก็ความคิดแกเรอะ”
“ก็แค่เสนอไอเดียเท่านั้นเอง แอลกอฮอล์น่ะต้องดื่มกับคนที่เชื่อใจจริง ๆ ถึงจะสนุกนะ ถ้าพวกเซ็นคูจังออกเรือไปแล้วก็ไม่รู้จะได้มีโอกาสผ่อนคลายแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ตอนที่ทำได้ก็ควรจะทำไว้ก่อนไม่ใช่เหรอ”
นักอ่านใจปรายตามองมาทางเขา
“แล้ว–ได้ผลมั้ยล่ะ ท่าไม้ตาย ‘เพื่อนสมัยเด็ก’ น่ะ~”
เซ็นคูแค่นยิ้ม “ท่าไม้ตายอะไรของแกฟะ”
“เอ๋~ ถ้ายังไม่ได้ผลก็จนปัญญาแล้วเหมือนกันน้า พูดจริง ๆ ฉันเองก็เริ่มกลัวแล้วเนี่ย เรื่องอะไรกันนะที่ทำให้เซ็นคูจังคนนั้นกลุ้มมาตั้งหลายวัน วายแมนติดต่อมาอีกรอบ? อุกกาบาตจะพุ่งชนโลก?”
“จะบ้าเรอะ ถ้ามีเรื่องพรรค์นั้นจะปิดบังพวกแกให้ได้อะไรขึ้นมา”
“นั่นสิเนอะ~ เรื่องอุกกาบาตอาจจะสุดโต่งไปหน่อย แต่ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เซ็นคูจังก็คงจะพูดว่า ‘น่าตื่นเต้นดีนี่ แบบนี้น่ะ’ แล้วเกณฑ์ทุกคนมาปั่นงานสุดโหดมือเป็นระวิงแหงเลย”
“คึคึคึ ก็รู้ดีนี่หว่า”
“โหดร้ายอ่า แค่ตอนนี้ทุกคนก็งานล้นมืออยู่แล้วน้า ยังดีหน่อยที่มีจำนวนแรงงานเพิ่มขึ้นเยอะ ฉันเลยแอบอู้ได้อะนะ~”
พูดอย่างกับว่าคนที่วิ่งวุ่นไปทั่วอยู่ทุกวันไม่ใช่ตัวเองงั้นแหละ ไหนจะรวบรวมกองทุนน้ำมัน ไหนจะคลี่คลายความขัดแย้งของกลุ่มคนที่เพิ่มขึ้นสามเท่าตัว–เป็นวิธีอู้งานที่ลำบากชะมัด
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวยังคิดว่าภาพลักษณ์แบบนั้นยังหลอกเขาได้อยู่จริงหรือแสร้งทำไปตามความเคยชินกันแน่ เก็นแกว่งขาไปมาพลางมองลงไปยังชายหาด ที่ตั้งของเรือลำใหญ่ที่กำลังพักก่อสร้าง
“แล้วยังมีริวซุยจังที่มีทั้งประสบการณ์เดินเรือ สัญชาตญาณที่แม่นจนน่าขนลุกกับความสามารถรอบด้าน มีอุเคียวจังที่ไม่ใช่แค่หูดี แต่ยังละเอียดรอบคอบและอ่านขาดในทุกสถานการณ์ ด้านงานฝีมือก็มีคาเซกิจังกับยุสึริฮะจังที่เก่งกาจไม่แพ้มืออาชีพในโลกยุคเก่า งานใช้แรงเองก็มีทีมกอริลลาที่ประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าเครื่องจักร แม้แต่เรื่องวิทยาศาสตร์…ก็มีโครมจังที่บางครั้งก็ปิ๊งไอเดียที่เซ็นคูจังยังนึกไม่ถึง”
จู่ ๆ นักอ่านใจก็เริ่มนับนิ้วพลางไล่รายชื่อ เซ็นคูนั่งฟังเงียบ ๆ โดยที่ในใจเริ่มรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายตั้งใจจะสื่อ
“ต่างจากตอนนั้นที่เซ็นคูจังลืมตาขึ้นมาในสโตนเวิร์ลแห่งนี้ด้วยตัวคนเดียว—ตอนนี้พวกเรามีสุดยอด~พวกพ้องที่พึ่งพาได้เต็มไปหมดเลยเนอะ”
เก็นลดมือลงแล้วหันมาสบตากับเขาด้วยรอยยิ้ม
“แต่แหม เซ็นคูจังคงรู้เรื่องพวกนี้ดีอยู่แล้วแหละใช่ม้า”
“เออ ก็คงงั้น”
ตั้งแต่แรกเริ่ม เซ็นคูก็ไม่เคยคิดว่าตนเองจะทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว
ตอนที่ต้องเริ่มต้นทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวอย่างไม่มีทางเลือกก็ทำได้แค่กัดฟันเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ในการกอบกู้อารยธรรมนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการความสามารถของคนจำนวนมาก เพียงแต่ในบางครั้ง…ตอนที่เป้าหมายช่างดูใหญ่โตและห่างไกล ตอนที่ถูกเรื่องราวต่าง ๆ เร่งรัดให้รีบก้าวต่อไป เขาก็เผลอจดจ่ออยู่กับทางข้างหน้าเสียจนหลงลืมรอบข้างไปชั่วคราว และเกือบทุกครั้งก็เป็นคนข้าง ๆ นี้ที่คอยสะกิดเตือน
ทั้งเรื่องที่ผู้คนคือพลัง และเรื่องที่เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
แต่น้อยครั้งที่เก็นจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ปกติแล้วจะมาในรูปแบบของชาอุ่น ๆ ที่เข้ามาเสิร์ฟถูกจังหวะ บทสนทนาเรื่อยเปื่อยในคืนที่ข่มตานอนไม่หลับ ทริปชมพระอาทิตย์ขึ้นในความมืดที่เห็นแต่ทางตัน หอดูดาวที่สร้างขึ้นภายในสามคืน
เสียงของพ่อที่เหลือทิ้งไว้และจะไม่หายไปจากโลกนี้อีกแล้ว วงเหล้าแสนประดักประเดิดของเพื่อนสมัยเด็กที่ปีก่อนไม่ได้ฉลองด้วยกัน
และคนคนหนึ่ง…ที่คอยดูแลใส่ใจผู้คนและความสัมพันธ์เหล่านั้น
ที่นักอ่านใจอุตส่าห์เอ่ยปากพูดขนาดนี้ เป็นเพราะสภาพเขาดูวิกฤตมากนักหรือไงกันนะ
“แล้วถ้าเกิดว่าอยากจะ ‘โน้มน้าว’ ใครให้ขึ้นเรือไปกับพวกเซ็นคูจังละก็—ให้เป็นงานของนักอ่านใจได้เลย~”
ใบหน้าแสยะยิ้มชั่วร้ายของอีกฝ่ายทำเอาเซ็นคูหลุดขำออกมา
ให้ตายเถอะ ถึงขั้นมองออกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ไม่คิดว่าเป็นตัวเองเลยงั้นสิ
“แย่หน่อยนะ คราวนี้คงใช้วิธีนั้นไม่ได้ฟ่ะ”
“เอ๋~” คนถูกปฏิเสธทันควันทำปากยื่น “เป้าหมายเป็นคนที่จะไม่หลงกลของนักอ่านใจงั้นเหรอ ใครกันแน่เนี่ย”
จริงอย่างว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร แค่นักอ่านใจเอ่ยปากก็ชักจูงให้ขึ้นเรือได้ทั้งนั้น—ยกเว้นเพียงคนเดียว
มีแค่เก็นเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเลือก
ไม่ว่าเมื่อไร…ตั้งแต่แรก เซ็นคูก็ไม่เคยคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่ายเลย ทุกครั้งเก็นเป็นฝ่ายเลือกมาตลอด เลือกเดินเข้ามาหาเขาในครั้งแรกที่เจอหน้าแทนที่จะตรงกลับไปรายงานข่าวให้สึคาสะ เลือกเอ่ยปากขอโคล่าหนึ่งขวดเป็นค่าพันธมิตรราคาถูกแสนถูก
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
คนที่มีสิทธิ์เลือกไม่ใช่เซ็นคู ดังนั้นทั้งความรู้สึก ฮอร์โมน และเหตุผลตรรกะที่คิดจนหัวแทบแตกนั่น ล้วนไม่สลักสำคัญมาตั้งแต่แรก ถ้าเก็นเลือกที่จะไม่ไปก็จบแค่นั้น
แต่—
“แน่นอนอยู่แล้วว่าการตัดสินใจสุดท้ายต้องขึ้นกับเจ้าตัว แต่การบอกความต้องการของแกออกไปก็เป็นอีกเรื่องนึงไม่ใช่รึไง”
“สัญชาตญาณนักเดินเรือของฉันมันบอกน่ะสิ ว่าหมอนั่นไม่ได้ ‘ไม่อยากไป’ ”
ในเมื่อเจ้าคนที่มี ‘สัญชาตญาณที่แม่นจนน่าขนลุก’ เอ่ยปากมาชัดเจนขนาดนี้ ลองเสี่ยงดูสักตั้งคงไม่เสียหาย
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่สมองของนักวิทยาศาสตร์อย่างเขาทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และอีกฝ่ายก็เป็นถึงท่านกัปตันที่จะพาพวกเขาไปอีกฟากโลก ในเมื่อเป็นคนที่ตัดสินใจจะฝากหางเสือไว้ในมือแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อสักครั้ง
ความรู้สึกของเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ถ้าเก็นเลือกที่จะยื่นมือมาอีกครั้งละก็…
“นี่~ ใครกันเหรอ คนที่เซ็นคูจังอยากให้ไปด้วยน่ะ”
เก็นถามซ้ำ ความไม่พอใจยังคงฉายชัดบนใบหน้ามุ่ย คำปฏิเสธเมื่อครู่คงจะกระทบศักดิ์ศรีของนักอ่านใจเข้า สีหน้าที่ไม่ค่อยเผยออกมาให้เห็นนั้นทำให้เขารู้สึกทั้งฉิวทั้งขัน
พอเป็นเรื่องของตัวเองแล้ว ทำไมหมอนี่ถึงได้อ่านไม่ออกทุกครั้งเลยนะ
“แกไง”
คำนั้นหลุดออกไปจากปากอย่างง่ายดายกว่าที่คิด แต่พอพูดออกไปแล้วกลับพบว่ามือเริ่มสั่นเล็กน้อย อารมณ์มากมายทวีสูงขึ้นและผสมปนเปอย่างไม่คุ้นชิน
เขาลอบกำมือแน่น บังคับตัวเองไม่ให้เบนสายตาจากใบหน้างุนงงของคนที่ดูเหมือนจะยังประมวลผลไม่ทัน
“ฉันอยากให้แกไป”
เรียบง่าย ไร้ชั้นเชิง ไม่มีทั้งคำโน้มน้าวและข้อแลกเปลี่ยน ไม่มีกระทั่งเหตุผลประกอบที่นักวิทยาศาสตร์ควรจะมอบให้กับนักอ่านใจ
เป็นเพียงความเอาแต่ใจไร้การกลั่นกรองที่อิชิกามิ เซ็นคูอยากบอกกับอาซากิริ เก็น
สายลมเย็นเยียบพัดปะทะใบหน้าของทั้งสอง เก็นเบิกตากว้างขึ้น ดวงตาสีฟ้าเข้มสั่นระริก
ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง
แต่แล้วก็ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกมาจากปากคนช่างเจรจา และไม่ถึงสามวินาที ริมฝีปากคู่นั้นก็ปรากฏรอยยิ้มอีกครั้ง
“อ๋อ~ กะจะโยนงานเจรจากับศัตรูให้ฉันล่ะสิ”
“นั่นก็ด้วย”
“ว่าแล้วเชียว” เก็นชะงักไปแวบหนึ่ง ขยับปากพึมพำ “... ‘ก็’ ด้วย?”
“คำตอบล่ะ”
“เอ๋ อันนั้นเป็นคำถามเหรอ อืม…ถ้าเซ็นคูจังขอร้องถึงขนาดนั้นล่ะก็~”
เก็นทิ้งหางเสียงแล้วเหลือบตามอง เหมือนจะเว้นช่วงให้เซ็นคูตอบกลับว่า ‘ไม่ได้ขอร้องสักหน่อย’ แต่ครั้งนี้เขาไม่เล่นไปตามเกมของอีกฝ่าย ดวงตาสีแดงมองตอบกลับไปเงียบ ๆ รอยยิ้มปั้นแต่งของนักมายากลเริ่มสั่นคลอนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าพึลึก
ในที่สุดเก็นก็ถอนหายใจเฮือก “...ช่วยไม่ได้น้า ไปก็ไป”
“ก็แหม พอคิดดูดี ๆ แล้วที่นี่ก็อาจจะไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น วายแมนก็ดูเหมือนจะหาพวกเราเจอแล้วซะด้วยสิ อยู่ข้างเซ็นคูจังที่มีวิทยาศาสตร์อาจจะเซฟกว่าก็ได้ละมั้ง”
ข้ออ้างเหลวไหลทั้งนั้น
ต่อให้ท่านกัปตันริวซุยจะเก่งกาจขนาดไหน แต่เรือที่มือสมัครเล่นกองหนึ่งพากันข้ามน้ำข้ามทะเลจะปลอดภัยกว่าได้อย่างไร เก็นเองก็รู้ดีถึงความดวงกุดของเขา ไม่มีทางเลยที่ทุกอย่างจะราบรื่น ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดจะต้องเกิดขึ้นตามกฏของเมอร์ฟี
ถ้านี่คือข้ออ้าง แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร
คำตอบเหมือนจะวางอยู่ตรงหน้าแล้ว ถ้าก้าวเข้าไปอีกนิดก็คงจะคว้ามันมาได้ แต่ความสุขที่ท่วมทะลักขึ้นมาพัดเอาตรรกะความเป็นเหตุผลกระจุยไปหมด
ทั้งที่ก็ได้ยินสิ่งที่ริวซุยคาดเดามาก่อนแล้ว ทั้งที่คิดอยู่แล้วว่าสัญชาตญาณของหมอนั่นมักจะถูกต้อง แต่พอได้รับคำตอบเข้าจริงกลับดีใจเป็นบ้าอย่างกับเด็ก ๆ
แค่เพราะถูกเลือกอีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
ริมฝีปากคลายออกเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างไม่อาจควบคุม
“ยินดีต้อนรับสู่การเดินเรือแสนสนุก เก็น”
เก็นเบิกตามองเขาแล้วเม้มปาก หลบตาไปด้านข้าง ยกแขนเสื้อขึ้นบังริมฝีปากที่ขยับบ่นงุบงิบ “...ขี้โกงเกินไปแล้ว”
“หา?”
“เปล่านี่~ อ๊ะ ปิดเรื่องที่ฉันจะขึ้นเรือไว้เป็นความลับก่อนแล้วกันเนอะ ไหน ๆ ก็พูดไปทั่วแล้วว่าจะไม่ไป เดี๋ยวค่อยทำเป็นเปลี่ยนใจหน้างานดีกว่า อาจจะมีคนกล้าเปลี่ยนตามก็ได้นะ~”
เรื่องขี้ประติ๋วก็ยังไม่ปล่อยผ่าน ไม่ว่าตัวเองจะอยู่ทีมไหนก็ยังเอาจริงเอาจังกับการดึงคนให้ขึ้นเรือไม่เปลี่ยน
เซ็นคูยังคงอารมณ์ดีสุด ๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าใช้แววตาแบบไหนมองคนที่ลูกเล่นเยอะเสียเหลือเกินตรงหน้า
“แล้วแต่แกเถอะ”
เก็นกระพริบตา มองรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายไปบนใบหน้าของเขานิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม
“…ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ ที่หลอกฉันไปด้วยได้น่ะ~”
ในน้ำเสียงหยอกล้อเจือด้วยความลังเล เบาบางเสียจนเขาคิดว่าอาจจะฟังผิดไปเอง
“เออ ดีใจสิ”
ลมหายใจของอีกฝ่ายชะงัก เก็นมุ่นคิ้วด้วยสีหน้าประหลาด
“เซ็นคูจัง เมารึเปล่าเนี่ย”
“หา? ไม่ได้เมาเฟ้ย ฉันพูดไม่รู้เรื่องรึไง”
“เปล่า ก็มัน…อ่า ช่างเถอะ”
เซ็นคูเลิกคิ้วกับท่าทีชวนให้ติดใจของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากถาม เก็นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเอนตัวไปด้านหลัง
“อ๋า~~ บนเรืองานหนักเพียบแหงเลย คิดว่าเซ็นคูจังไม่อยู่แล้วจะได้อู้สบาย ๆ แล้วเชียว~”
คนเปลี่ยนเรื่องโอดครวญ
“ขึ้นเรือไปกันหมดแล้วทีนี้ใครจะดูแลฝั่งนี้ละเนี่ย รูริจังกับโคคุโยจัง…เอ๊ะ โคคุโยจังจะอยู่นี่หรือไปกับโคฮาคุจังหว่า ส่วนฝั่งคนยุคเก่าก็ฝากมินามิจังได้มั้งนะ ยังไงก็คงอยู่เฝ้าสึคาสะจังที่นี่อยู่แล้ว ที่เหลือ…คงต้องไปแอบถามสักหน่อยว่าใครคิดจะไม่ขึ้นเรือบ้าง”
คนอู้งานที่ไหนเขากลุ้มใจเรื่องพวกนี้กัน ทั้งที่ชอบบ่นว่าเขาบ้างานแท้ ๆ
“เดี๋ยวค่อยไปถามรายชื่อจากเจ้าริวซุยก็ได้” มุมปากเผลอยกขึ้นอีกครั้งขณะมองคนด้านข้างที่กำลังนิ่วหน้าครุ่นคิด “ถ้ากังวลเรื่องเฮียวงะกับโฮมุระนักก็จับตัวใส่กรงขึ้นเรือไปด้วยก็สิ้นเรื่อง”
“เอาจริงดิ!?”
“อีกอย่าง ถ้าได้แพลตตินัมมาก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเฮียวงะเบอร์ 2 แล้ว พอมีน้ำยาคืนสภาพไม่จำกัดก็คงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนมาพูดเรื่องคัดเลือกมนุษย์อะไรนั่นหรอก”
“ก็จริงนะ…จะว่าไปก็ไม่อยากเชื่อเลยแฮะ จะถึงขั้นที่ฟื้นคืนชีพทุกคนทั่วโลกแล้วจริงเหรอเนี่ย”
“เออ พอมีแพลตตินัมก็สร้างกรดไนตริกได้ไม่จำกัด จากนั้นก็ไปหาข้าวโพดที่อเมริกามาทำแอลกอฮอล์ปริมาณมหาศาล เท่านี้ก็ผลิตน้ำยาคืนสภาพสำหรับมนุษย์เจ็ดพันล้านคนได้แล้ว”
“พูดซะง่ายเลย…” เก็นยิ้มแห้ง “ยิ่งใหญ่เกินไปจนนึกภาพไม่ออกเลย ปลุกคนทั่วโลกเนี่ยจะเจอคนแบบไหนบ้างก็ไม่รู้เนอะ”
“ก็คงมีทุกแบบไม่ใช่เรอะ เอาเหอะ อย่างน้อยถ้าช่วงแรกไม่เจอพวกบ้าสงครามที่รู้วิธีผลิตอาวุธก็ดี—”
“สต๊อป!!! พูดเป็นลางแบบนั้นเดี๋ยวก็เจอเข้าจริง ๆ หรอก!?”
เซ็นคูแคะหูอย่างไม่ยี่หระต่อสีหน้าแตกตื่นของคนที่ร้องห้าม “ถ้าไม่พูดแล้วจะไม่เจอรึไงฟะ”
“จริง ๆ เลยน้า…” อีกฝ่ายถอนหายใจยาว “เซ็นคูจังไม่กลัวบ้างเหรอ”
กลัว?
คนที่เคยถูกคนที่ตนเองปลุกขึ้นมาฆ่าตายไปแล้วหนหนึ่งอย่างเขา จะถูกถามแบบนี้ก็ไม่แปลก ตามปกติเขาคงจะบอกปัดไปอย่างไม่ใยดีว่ากลัวไปก็เสียเวลาเปล่า ซึ่งก็เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ไม่ได้หมายความว่า ‘ไม่กลัว’
“เรื่องที่ต้องทำ มันก็ต้องทำอยู่ดีนี่หว่า”
ไม่ปฏิเสธก็เท่ากับยอมรับ นักอ่านใจย่อมได้ยินคำสารภาพที่ซ่อนอยู่ และเซ็นคูก็ยอมให้อีกฝ่ายได้ยิน
ความกลัวเป็นสัญชาตญาณที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรกับมันก็เป็นทางเลือกของเขา เขาจะไม่ยอมถูกมันควบคุม เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในโลกที่มีแต่หินนี้ เซ็นคูก็ตัดสินใจแล้วว่าจะนำอารยธรรมและภูมิปัญญาของโลกใบเก่ากลับคืนมา การปล่อยให้สมบัติที่มนุษยชาติสะสมมาร่วมสองล้านปีเลือนหายไปมันน่าเสียดายเกินไป
และอีกอย่าง ก็ถูกส่งต่อมาแล้วนี่นะ
‘ถ้าเป็นลูก ต้องทำได้แน่นอน’
เจ้าความคาดหวัง และความเชื่ออันล้นหลามอย่างไร้ตรรกะนั่น
“วิทยาศาสตร์ของฉันน่ะ ไม่แพ้หรอกเฟ้ย”
เก็นฟังคำประกาศที่ราวกับไม่ได้เอ่ยกับตนเพียงคนเดียว แล้วผุดรอยยิ้มจาง
“เป็นคำตอบที่สมกับเป็นเซ็นคูจังเลยแฮะ”
“แล้วก็—มีพวกแกอยู่ด้วยไม่ใช่เรอะ”
“อื๋อ?”
เซ็นคูชันเข่าขึ้นแล้วเท้าคางมองดวงตาทรงอัลมอนด์ที่กระพริบปริบ
“ยังไงซะก็มี ‘สุดยอด~พวกพ้องที่พึ่งพาได้เต็มไปหมด’ —ใช่มะ”
เก็นทำตาโตเมื่อได้ยินประโยคของตนเองที่ถูกเลียนแบบได้ไม่เหมือนเท่าไร ก่อนจะระเบิดหัวเราะ
“ไม่เข้ากับเซ็นคูจังสุด ๆ เลย”
“หนวกหูน่ะ ถ้าเจอพวกตรรกะประหลาดเข้าจริง ๆ ก็เป็นงานของแกนั่นแหละ นักอ่านใจ”
“โบ้ยให้กันโต้ง ๆ เลยเหรอ โหดร้ายอ่า”
ในรอยยิ้มอ่อนใจมีร่องรอยของความภาคภูมิในตนเองแฝงอยู่ เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ก้าวออกไปทำหน้าที่ที่ต้องทำแม้ปากจะบ่นนั่นนี่ ศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นในทักษะที่ตนเองฝึกปรือมานั้นก็ไม่ต่างอะไรจากความศรัทธาของเซ็นคูที่มีต่อวิทยาศาสตร์
และเขาเองก็เชื่อเช่นกัน
เชื่อในความสามารถนั้น เชื่อในพลังของผู้คนที่อีกฝ่ายทุ่มเทประคับประคองเอาไว้ เพราะเชื่อ—จึงก้าวต่อไปข้างหน้าได้เร็วและมั่นคงกว่าที่เคยคิด
“เอาเถอะ ถึงจะน่ากลัว แต่ก็น่าตื่นเต้นอยู่หน่อย ๆ เหมือนกันนะ”
เซ็นคูเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำที่ไม่คาดคิด “โห คิดจะเลียนแบบคำพูดฉันคืนรึไง”
“เปล่าสักหน่อย~ ฉันเลียนเสียงได้เหมือนกว่านั้นเยอะน่า” เก็นหัวเราะ “แหม แต่จะเรียกว่าติดเชื้อมาก็ได้มั้งนะ พอนึกย้อนไปถึงตอนทื่ไปหมู่บ้านอิชิกามิครั้งแรกก็รู้สึกทึ่งขึ้นมาเหมือนกัน ทั้งที่ราเม็งชามนั้นก็มหัศจรรย์มากแล้วสำหรับโลกยุคหิน แต่ตอนนี้มาไกลจนถึงขั้นจะขึ้นเรือข้ามทวีปกันแล้วเชียวนะ”
“ก็อย่างที่เคยพูดนั่นละเฟ้ย ค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
“อื้ม วิทยาศาสตร์ของเซ็นคูจังน่ะสุดยอดจริง ๆ นั่นแหละ เพราะงั้นพอลองนึกว่าก้าวต่อไปจะเป็นการปลุกมนุษย์ทุกคนทั่วโลก แถมยังเป็นสมาชิกกลุ่มนี้ที่สุดโต่งกันไปคนละทิศละทาง คาดเดาไม่ได้สักนิด—ทั้งที่น่ากลัวออกจะตายไป…แต่ก็ดันคิดว่าน่าสนุกขึ้นมาซะได้”
เก็นทอดสายตาออกไปยังทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า และแผ่นดินอีกฟากหนึ่งที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า
“อยากเห็นจังนะ โลกที่เซ็นคูจัง–โลกที่พวกเราจะนำกลับมา”
‘ถ้าวิทยาศาสตร์ของลูก รวมพลังกับเหล่าพวกพ้องล่ะก็ โลกของเรามันจะต้องสนุกมากกว่านี้แน่ ๆ’
จดหมายที่ข้ามกาลเวลามาหลายพันปีดังซ้อนทับขึ้นมา เช่นเดียวกับเสียงในแผ่นแก้วนั้น เขาจดจำได้ทุกคำที่ถูกส่งต่อมาผ่านนิทานเรื่องที่ 100 ของรูริ ทั้งที่เก็นไม่น่าจะเคยได้ยิน แต่กลับเอ่ยถ้อยคำที่สะท้อนเป็นคลื่นความถี่เดียวกันออกมา
ดวงหน้าเปื้อนยิ้มตรงหน้าถูกย้อมด้วยสีส้มแดงของตะวันตกดิน ปอยผมพริ้วไปตามแรงลมทะเล นิ้วมือของเขากระตุก เป็นอาการคล้ายกับคืนคริสต์มาส คล้ายกับคืนวันเกิดปีก่อนบนหอดูดาว
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
อาจจะเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ยังหลงเหลือ เพราะโดปามีนที่ท่วมท้นในสมองเมื่อครู่ หรือเพราะพรีฟรอนทัลคอร์เท็กซ์ชัตดาวน์ตัวเองทิ้งไปเสียแล้ว มือของเซ็นคูจึงขยับไปเองโดยที่เขาไม่ได้สั่งการ
เขาแตะกลุ่มเส้นไหมสีขาวที่ดึงดูดสายตานั้นแล้วทัดไว้หลังหู ปลายนิ้วแตะที่แก้มเย็นเฉียบแผ่วเบา
หมอนี่นั่งตากลมมานานแค่ไหนแล้วกันเนี่ย
เขายังเหม่อคิดไปถึงเรื่องนั้น ในขณะที่เลื่อนสายตาไปที่ดวงตาคู่ตรงหน้าที่เบิกค้าง
“เอ๋?”
“หา?”
สองคนที่ได้ชื่อว่าฉลาดที่สุดในราชอาณาจักรวิทยาศาสตร์หลุดเสียงอุทานโง่ ๆ ออกมา
นี่เขา ทำอะไร—
แม้จะตกตะลึงกับการกระทำของตนเอง ประสบการณ์ทั้งชีวิตในฐานะนักวิทยาศาสตร์กลับทำให้ทักษะการสังเกตของเขาไม่ได้หยุดทำงานไปด้วย
ดังนั้นดวงตาสีแดงเข้มจึงบันทึกรายละเอียดของภาพตรงหน้าไว้ได้ไม่ตกหล่น
ทั้งม่านตา ใบหน้าที่ค่อย ๆ ซับสีแดงเข้มขึ้น อุณหภูมิของผิวที่สัมผัสได้จากปลายนิ้ว—
เก็นคว้าปอยผมยาวของตัวเองหมับและถอยกรูดด้วยความเร็วแสง
“อะ อ๋อ มันสะบัดไปมาดูเกะกะสินะ มีคนพูดบ่อยเลยแหละ ฮะๆ”
เจ้าของผมสองสีหัวเราะอย่างไร้ซึ่งความเป็นธรรมชาติ ก่อนจะลอบเม้มปาก แล้วผุดลุกขึ้นราวกับทนฝืนต่อไม่ไหว
“ฉัน ฉันหนาวแล้วน่ะ ขอกลับไปก่อนนะ”
พูดไม่ทันจบเจ้าตัวก็สาวเท้าฉับ ๆ เดินจากไปด้วยความเร็วที่เหมือนกับห้ามตัวเองสุดชีวิตไม่ให้วิ่ง ไม่กี่วินาทีแผ่นหลังก็หายลับไปจากสายตา
เซ็นคูนั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนหงาย ยกมือของตนเองขึ้นมองอย่างไม่อยากเชื่อ
ปลายนิ้วยังจดจำอุณหภูมิได้อยู่เลย
ควบคุมมือตัวเองไม่ได้เนี่ยนะ จะไร้ตรรกะเกินไปแล้ว ดูเหมือนเขาจะดูถูก ‘บั๊กของมนุษยชาติ’ เกินไป
ยิ่งไปกว่านั้น ปฏิกิริยาของหมอนั่น…
นั่นคือใบหน้าของนักมายากลที่ทำหน้ากากหลุดกลางสปอร์ตไลท์ เจ้าตัวพยายามใส่มันกลับเข้าไปอย่างแนบเนียนที่สุด แต่มืออันสั่นเทาก็ทำให้เหลือรอยแยกที่ไม่อาจปิดบัง
และชั่วพริบตานั้น เขาก็เห็นอย่างชัดแจ้ง
ทั้งการขยายของม่านตา การสูบฉีดเลือดที่เพิ่มขึ้น การขยายของหลอดเลือดฝอยบนใบหน้า อุณหภูมิและเหงื่อ ดูยังไงก็เป็นผลของโดปามีนกับนอร์เอพิเนฟรินไม่ผิดแน่ ดังนั้นการที่เก็นแสดงปฏิกิริยารุนแรงขนาดนั้นกับอิกะแค่ถูกเขาแตะผมก็หมายความว่า—
“โป๊กเกอร์เฟซแกไปไหนหมดฟะ เป็นนักอ่านใจไม่ใช่เรอะ” เซ็นคูวางแขนทาบลงบนใบหน้า “…น่ารักเป็นบ้า”
บางที โปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังในสมองของเซ็นคูอาจจะนึกสงสัยอยู่แล้ว ว่าความใส่ใจที่ได้รับมาเป็นเพียงเพราะเป็นหน้าที่ของนักอ่านใจ หรือมีอะไรที่มากไปกว่านั้น
เพียงแต่ในสถานการณ์ที่ยังหัวหมุนกับความรู้สึกของตัวเอง เขาย่อมไม่มีเวลาใคร่ครวญไปถึงความในใจของอีกฝ่าย เดิมทีงานอ่านใจก็ไม่ใช่ความถนัดของนักวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ไหนจะปัจจัยเรื่องที่สมองติดบั๊กนี้อาจจะทำให้ตาชั่งโน้มเอียงอีก
แต่–ไม่มีอะไรที่น่าเชื่อถือไปมากกว่าข้อมูลเชิงประจักษ์
ต้องให้น้ำหนักกับสิ่งที่สัมผัสด้วยมือตัวเองและเห็นด้วยตาตัวเอง มากกว่าสมมติฐานที่อาจเกิดจากความกลัวหรืออคติ เขาไม่คิดจะทำพลาดแบบเดิมซ้ำ
ความรู้สึกของเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ถ้าเก็นเลือกที่จะยื่นมือมาอีกครั้งละก็…
“คึคึคึ น่าตื่นเต้นดีนี่ แบบนี้น่ะ”
ถ้าเห็นแบบนั้นแล้วยังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็เห่ยเกินไปแล้ว
- END -