Work Text:
ทริปการเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องราววัฒนธรรมและสิ่งแปลกใหม่ต่าง ๆ รอบตัวมากมายระหว่างที่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่ ตอนนี้เองก็ถึงเวลาที่จะเลือกซื้อของบางอย่างติดไม้ติดมือกลับบ้านไป
ทุกครั้งที่คุกุริมาเยือนยังประเทศไทย เขาก็มักจะซื้อของที่ระลึกที่ถูกใจกลับไปด้วยเสมอ แก้วน้ำเอย รูปปั้นอันจิ๋วเอย ไม่ก็พวกกำไล หรือพวกงานฝีมือแกะสลัก
ถึงแม้ว่าของที่ระลึกนั้นควรจะเป็นดั่งตัวแทนให้ชวนนึกถึงช่วงเวลาดี ๆ ทว่าสำหรับคุกุริแล้ว พวกมันจะกลับกลายมาเป็นขยะในภายหลังในเวลาไม่นานนัก
เมื่อผ่านไปสักพัก เขาก็จะเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘ผมซื้อของพวกนี้มาทำอะไร?’ พอเริ่มมีความรู้สึกว่าพวกมันเกะกะ เขาก็จะโยนมันทิ้งไปเสียดื้อ ๆ
แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็มันไม่สามารถยับยั้งช่างใจตัวเองในตอนนั้น ไม่ให้ซื้อกลับไปได้เลยนี่นา
และนี่ก็อีกครั้งหนึ่งที่เขากำลังเผชิญกับความรู้สึกนั้นอยู่
ณ ร้านขายของฝากที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากชายเกาะทะเลมากนัก มีทั้งขนม เสื้อผ้า เครื่องประดับ และของที่ระลึกจุกจิกหลากหลายรูปแบบมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อ
เจ้าของดวงตาสีดำมืดนั้นสะดุดตาเข้ากับบางอย่าง มันคือขวดแก้วขนาดจิ๋วขวดหนึ่ง ที่ด้านในประดับไปด้วยเปลือกหอยเม็ดทราย และมีฟองอากาศอยู่ภายใน ราวกับเป็นขวดที่บรรจุทะเลขาดย่อมไว้ในนั้น ที่เมื่อมองดูแล้ว คงชวนให้นึกถึงความสวยงามชายฝั่งทะเลของเกาะแห่งนี้ได้ไม่มากก็น้อย
(ควรจะซื้อเจ้านี่ดีมั้ยนะ… แต่จะซื้อไปทำอะไรละ?)
คุกุริรู้นิสัยของตัวเองดี ว่าแม้ตอนนี้เขาจะรู้สึกอยากได้มันกลับไปมากเสียแค่ไหน แต่เดี๋ยวอีกสักพักหลังจากเดินทางกลับไปแล้ว บางทีมันคงกลายเป็นขยะอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ต่อไปก็รกห้องเปล่า ๆ และเขาอาจจะโยนมันทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใยเลยก็เป็นได้
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นบ่อย ๆ จนทำให้เขาเริ่มรู้สึกลังเลใจขึ้นมา แถมเจ้านี่เองก็ดูเป็นของที่นอกจากเอาไว้เชยชมความสวยงามของมันแล้ว ในแง่การใช้งานก็ดูท่าจะไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
(งั้นช่างมันดีกว่า…)
“อยากได้เหรอ?”
ตอนที่คิดตัดใจจากมันอยู่นั่นเอง เสียงคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา ชายหนุ่มผมบลอนด์ดวงตาสีเขียวมรกต คนที่เขาไม่อยากแม้แต่จะหันไปสบตาด้วย เป็นไรโตะ เพื่อนร่วมทริปของเขาในครั้งนี้นั่นเอง
“…ไม่เอาล่ะ ซื้อไปเดี๋ยวก็กลายเป็นขยะอยู่ดี นายก็รู้ ของที่ระลึกมันรกเต็มห้องไปหมดแล้ว” คุกุริตอบกลับในขณะที่ไม่ได้ละสายตาจากสิ่งที่เขาจับจ้องอยู่
“แต่เธอดูชอบนะ”
“…” คำพูดนั้นกับราวกับสะกิดอะไรบางอย่างในใจทำเอาเขาต้องขมวดคิ้ว
ทั้ง ๆ ที่กำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ซื้ออยู่แท้ ๆ แต่คุกุริก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดนั้นแต่อย่างใด
เห็นดังนั้น ชายผมบลอนด์จึงเอื้อมไปหยิบขวดใบน้อยนั้นขึ้นมา
“งั้นฉันซื้อให้ก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินอย่างไม่รีรอโดยที่ไม่ถามอะไรต่อสักคำ
“หา?” คุกุริหันขวับก่อนเอื้อมมือไปดึงหัวไหล่ของอีกฝ่ายไว้ในทันที “ใครขอให้นายซื้อให้มิทราบ?”
“เอาเถอะน่า ก็เห็นยืนดูอยู่ตั้งนานแล้ว จริง ๆ ก็ชอบใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อให้เอง” ว่าพลางยกมือนั้นออกก่อนจะส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้
“อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง แล้วประเด็นมันก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย”
“เอาตามนี้นะ”
“นี่นายฟังที่คนอื่นพูดรู้เรื่องมั้ย? อย่ามาตัดสินใจตามใจชอบนะ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของไรโตะสวนทางกับสีหน้าไม่พอใจของคุกุริ แต่ด้วยความที่เขาก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกันในที่สาธารณะ จึงได้ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนตนเองก็ยืนกอดอกจิกตามองอยู่ห่าง ๆ อย่างหงุดหงิด พร้อมกับก่นด่าในใจสารพัดอย่าง
เพราะแบบนี้ไงถึงได้ไม่อยากมาทริปกับหมอนี่… เอาแต่ใจชะมัด ขออย่าให้ได้มาด้วยกันอีกเลย ให้ตายสิ
“เอ้า นี่”
พอรู้ตัวอีกที อีกฝ่ายก็เดินกลับมาพร้อมยัดขวดใบจิ๋วนั้นใส่มือของคุกุริโดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ในเมื่อสุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว คุกุริจึงเลือกที่จะส่งยิ้มให้เขาพร้อมพ่นคำพูดประชดประชันใส่เหมือนที่เขามักจะทำเป็นประจำ
“เสียเงินเปล่าแท้ ๆ โง่รึเปล่าเนี่ย เดี๋ยวผมก็ทิ้งอยู่ดี”
“ก็ถ้าถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
ยังไม่ทันไร รอยยิ้มนั้นก็หายไปจากใบหน้าของชายหนุ่มผมเทาอย่างรวดเร็ว เมื่อคำพูดที่หวังจะชวนยั่วโทสะนั้นล้มเหลว ก็หลงเหลือไว้แต่เพียงแต่สีหน้าละเหี่ยใจเพียงเท่านั้น
“……เฮ่อ ผมอยากกลับแล้ว” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับถอนหายใจไปพลาง ในขณะที่ดวงตาสีดำจับจ้องของที่ระลึกอันน้อยในมืออย่างไม่ละสายตา
“……”
(เอาไปวางไว้ที่ชั้นวางก็น่าจะได้ ถ้าเป็นตรงนั้น ก็คงไม่หายง่าย ๆ หรอก… มั้งนะ)
ในตอนนี้ คุกุริไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ในใจลึก ๆ แล้ว เมื่อเป็นของที่ไรโตะซื้อให้ เขาคงจะไม่มีวันโยนมันทิ้งไปแบบไม่เสียดายแบบที่ผ่านมาอย่างแน่นอน